จำหน่ายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้งทุกชนิด

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

การเจริญเติบโตของชันโรง

 การเจริญเติบโตของชันโรง แบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ ดังนี้

ระยะไข่ (Egg Stage):
ราชินีชันโรงจะวางไข่รูปร่างคล้ายเมล็ดข้าว สีขาว ขนาดเล็ก ไว้ในหลอดรวงตัวอ่อน
ระยะเวลา: ประมาณ 2-4 วัน (ขึ้นอยู่กับชนิดและอุณหภูมิ)

ระยะตัวอ่อน (Larva Stage):

ไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนรูปร่างคล้ายหนอน สีขาว ไม่มีขา
ตัวอ่อนจะกินอาหารที่ชันโรงงานป้อนให้ เช่น น้ำหวาน เกสร และรอยัลเยลลี
ตัวอ่อนจะลอกคราบ 4-5 ครั้ง เพื่อขยายขนาด
ระยะเวลา: ประมาณ 6-8 วัน

ระยะดักแด้ (Pupa Stage):

ตัวอ่อนจะเข้าสู่ระยะดักแด้ โดยจะสร้างใยหุ้มตัวเองไว้ในหลอดรวง
ภายในใย ตัวอ่อนจะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เป็นชันโรงตัวเต็มวัย
ระยะเวลา: ประมาณ 10-14 วัน

ระยะตัวเต็มวัย (Adult Stage):

ชันโรงตัวเต็มวัย จะออกจากดักแด้ พร้อมทำงานตามวรรณะของตนเอง
ชันโรงวรรณะต่างๆ จะมีอายุขัยแตกต่างกัน
ราชินี: หลายปี
ชันโรงงาน: 1-3 เดือน
ชันโรงตัวผู้: 2-3 สัปดาห์

หมายเหตุ:

ระยะเวลาในการเจริญเติบโตของชันโรงแต่ละชนิด อาจแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัย เช่น อุณหภูมิ อาหาร
การทำความเข้าใจวงจรชีวิตของชันโรง เป็นประโยชน์ต่อการเลี้ยงดู เช่น การจัดการอาหาร การควบคุมศัตรู และการขยายพันธุ์





วรรณะของชันโรง

 วรรณะของชันโรง:

ชันโรงเป็นแมลงสังคมที่มีการแบ่งวรรณะออกเป็น 3 วรรณะหลัก ได้แก่
1. ราชินี (Queen):
ลักษณะ: ตัวใหญ่กว่าชันโรงวรรณะอื่นๆ โดยเฉพาะส่วนท้องที่ยาว ปีกสั้นกว่าลำตัว มีหน้าที่หลักในการวางไข่
จำนวน: ในแต่ละรังจะมีราชินีเพียงตัวเดียวเท่านั้น
อายุขัย: มีอายุขัยได้นานหลายปี
หน้าที่:
วางไข่ เป็นผู้กำหนดเพศของชันโรงที่จะเกิดใหม่ โดยไข่ที่ไม่ได้รับการผสมจะเป็นตัวผู้ ส่วนไข่ที่ได้รับการผสมจะเป็นตัวเมีย
ควบคุมพฤติกรรมของชันโรงวรรณะอื่นๆ ด้วยสารเคมีที่เรียกว่าฟีโรโมน

2. ชันโรงงาน (Worker):

ลักษณะ: ตัวเล็กกว่าราชินี ปีกมีขนาดเท่ากับลำตัว เป็นเพศเมียที่เป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้
จำนวน: มีจำนวนมากที่สุดในรัง อาจมีจำนวนหลายพันถึงหลายหมื่นตัว
อายุขัย: มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 1-3 เดือน
หน้าที่:
ทำงานเกือบทุกอย่างภายในรัง เช่น
ซ่อมแซมรัง
ทำความสะอาดรัง
เลี้ยงดูตัวอ่อน
ป้องกันรัง
หาอาหาร (น้ำหวาน เกสรดอกไม้)

3. ชันโรงตัวผู้ (Drone):

ลักษณะ: ตัวเล็กกว่าราชินี แต่ใหญ่กว่าชันโรงงาน ส่วนท้องป้อมสั้นกว่าราชินี
จำนวน: มีจำนวนน้อย จะพบมากในช่วงฤดูผสมพันธุ์
อายุขัย: มีอายุขัยสั้น เพียงแค่ 2-3 สัปดาห์
หน้าที่:
ผสมพันธุ์กับราชินี
เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะตาย

ความสัมพันธ์ของวรรณะ:

วรรณะทั้งสามของชันโรง ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อให้รังอยู่รอดและดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป
หากขาดวรรณะใดวรรณะหนึ่งไป จะส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรังทั้งหมด
เกร็ดน่ารู้:
ชันโรงงาน จะมีการแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ ตามช่วงอายุ
ชันโรงบางชนิด ชันโรงงานสามารถเปลี่ยนแปลงวรรณะเป็นราชินีได้ ในกรณีที่รังขาดราชินี



.
.
.

รายชื่อชันโรงในประเทศไทย (เรียงตามอักขระชื่อวิทยาศาสตร์)

รายชื่อชันโรงในประเทศไทย (เรียงตามอักขระชื่อวิทยาศาสตร์)
Geniotrigona thoracica (Smith, 1857) - ชันโรงปากหมูใหญ่
Heterotrigona itama (Cockerell, 1918) - ชันโรงอตาม่า
Homotrigona aliceae (Cockerell, 1918) - ชันโรงอลิซ
Homotrigona fimbriata (Smith, 1857) - ชันโรงยักษ์ขาดำ
Homotrigona lutea (Bingham, 1897) - ชันโรงยักษ์ขาแดง
Lepidotrigona doipaensis (Schwarz, 1939) - ชันโรงปากแตรกลาง
Lepidotrigona flavibrasis (Cockerell, 1929) - ชันโรงปากแตรจิ๋ว
Lepidotrigona nitidiventris (Smith, 1857) - ชันโรงปากแตรขาใบพาย
Lepidotrigona satun (Attasopa & Bänziger, 2018) - ชันโรงสะตุน
Lepidotrigona terminata (Smith, 1878) - ชันโรงปากแตรใหญ่
Lisotrigona cacciae (Nurse, 1907) - ชันโรงแคช
Lisotrigona furva (Engel, 2000) - ชันโรงคชฌกูฏ
Lophotrigona canifrons (Smith, 1857) - ชันโรงอุงหมี
Pariotrigona klossi (Schwarz, 1939) - ชันโรงซูเปอร์จิ๋วคลอสซี
Pariotrigona pendleburyi (Schwarz, 1939) - ชันโรงเพนเดิลบูรี่
Tetragonilla atripes (Smith, 1857) - ชันโรงใต้ดินอาทรีเปส
Tetragonilla collina (Smith, 1857) - ชันโรงใต้ดิน
Tetragonilla fuscibasis (Cockerell, 1920) - ชันโรงใต้ดินสีน้ำตาล
Tetragonula fuscobalteata (Cameron, 1908) - ชันโรงหางแฉก
Tetragonula geissleri (Cockerell, 1918) - ชันโรงหัวโต
Tetragonula hirashimai (Sakagami, 1978) - ชันโรงญี่ปุ่น
Tetragonula laeviceps (Smith, 1857) - ชันโรงหางแดง
Tetragonula malaipanae (Engel, Michener & Boontop, 2013) - ชันโรงมาเลนา
Tetragonula melina (Gribodo, 1893) - ชันโรงขนเงิน
Tetragonula minor (Sakagami, 1978) - ชันโรงไมเนอร์
Tetragonula pagdeni complex of species: laeviceps, pagdeniformis - ชันโรงศรีรินธร
Tetragonula testaceitarsis (Cameron, 1901) - ชันโรงเท้าสีอิฐ
Tetrigona apicalis (Smith, 1857) - ชันโรงปลายปีกขาว
Tetrigona binghami (Schwarz, 1937) - ชันโรงปลายปีกขาวตัวแดง
Tetrigona melanoleuca (Cockerell, 1929) - ชันโรงหลังลาย, ชันโรงปลายปีกขาวหน้าดำ
Tetrigona peninsularis (Cockerell, 1927) - ชันโรงปลายปีกขาวใต้
เพิ่มเติม:
ชื่อไทยของชันโรงบางชนิด อาจมีชื่อเรียกซ้ำกันได้ เช่น "ชันโรงหลังลาย" อาจหมายถึง Tetragonula melanoleuca หรือ Tetragonula fuscobalteata
การเรียกชื่อชันโรง อาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น หากต้องการข้อมูลเชิงลึก ควรศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ





องค์ประกอบภายในรังชันโรง:

 รังของชันโรงนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด มีองค์ประกอบที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน คล้ายกับบ้านที่ถูกออกแบบมาอย่างดี

มาดูกันว่าภายในรังชันโรง มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง
.
องค์ประกอบภายในรังชันโรง:
.
ปากทางเข้ารัง:
เป็นช่องทางเข้า-ออกของชันโรง
ขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไปตามชนิดของชันโรง
มักสร้างจากไขผึ้ง ผสมยางไม้ หรือดิน
บางชนิด เช่น ชันโรงหางลาย จะมีปากทางเข้ารังเป็นรูปแตร
ชันโรงบางชนิด จะมีทหารเฝ้าอยู่หน้ารัง
.
ช่องทางเดิน:
เป็นทางเดินเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ภายในรัง
.
ห้องตัวอ่อน (Brood Cells):
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรัง
เป็นที่อยู่ของไข่ ตัวอ่อน และดัก pupa
รูปร่างคล้ายกระเปาะ เรียงตัวกันเป็นชั้นๆ
สร้างจากไขผึ้ง ผสมกับยางไม้
.
ถุงเก็บน้ำผึ้ง (Honey Pots):
ใช้สำหรับเก็บน้ำผึ้ง
มีรูปร่างคล้ายกระเปาะ ขนาดแตกต่างกันไป
มักจะอยู่ด้านบนหรือรอบๆ ห้องตัวอ่อน
.
ถุงเก็บเกสร (Pollen Pots):
ใช้สำหรับเก็บละเกสรดอกไม้
มีลักษณะคล้ายถุงเก็บน้ำผึ้ง แต่อาจมีสีและกลิ่นแตกต่างกัน
.
พื้นที่สำหรับราชินี (Queen Cell):
เป็นห้องพิเศษสำหรับราชินี มักจะมีขนาดใหญ่กว่าห้องตัวอ่อนทั่วไป
เป็นที่อยู่ของราชินี และเป็นที่วางไข่
.
ช่องว่างสำหรับระบายอากาศ:
ช่วยในการระบายอากาศ และควบคุมอุณหภูมิภายในรัง
.
ข้อสังเกต:
องค์ประกอบภายในรังชันโรง อาจแตกต่างกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับชนิดของชันโรง ขนาดของรัง และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ

"ปากหมู" กับ "ปากแตร" คือชันโรงชนิดใด

 "ปากหมู" กับ "ปากแตร" นี่ก็เป็นชื่อเรียกชันโรงแบบชาวบ้านที่น่าสนใจ บ่งบอกถึงลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจน

มาดูกันครับว่า "ปากหมู" กับ "ปากแตร" คือชันโรงชนิดใด และเหมาะเลี้ยงในภาคไหนบ้าง

1. ปากหมู:

มักหมายถึง ชันโรงปากแหว่ง (Tetragonula collina)
ที่มาของชื่อ: สังเกตจากปลายปากด้านบนที่เว้าแหว่ง คล้ายจมูกหมู จึงถูกเรียกว่า "ปากหมู"
ความเหมาะสมในการเลี้ยง:
ชันโรงปากแหว่ง เลี้ยงได้ดีใน ทุกภาคของไทย
เป็นชันโรงที่ปรับตัวเก่ง ทนทาน เลี้ยงง่าย ให้น้ำผึ้งปริมาณมาก
ภาคกลาง มักเรียกว่า "อุงปากแหว่ง" หรือ "อุงหางแหลม"
ภาคเหนือ อาจเรียกว่า "อุงเมือง"

2. ปากแตร:

ชื่อนี้มักทำให้สับสนได้ง่าย เพราะอาจหมายถึงชันโรงได้หลายชนิด ที่มีลักษณะปากคล้ายแตร เช่น
ชันโรงหางแฉก (Tetragonula fuscobalteata): มีปลายท้องปล้องที่ 5 เว้าลึก ส่วนปากมีลักษณะแหลมคล้ายแตร
ชันโรงปากแตร (Tetragonula laotrigona): มีขนาดเล็ก ปากแหลมยาว คล้ายแตร
ความเหมาะสมในการเลี้ยง:
ชันโรงหางแฉก พบมากในภาคใต้ เหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่ภาคใต้มากกว่า
ชันโรงปากแตร พบได้ทุกภาค แต่ไม่นิยมเลี้ยง เพราะให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย

เกร็ดน่ารู้:

การเลือกชันโรงมาเลี้ยง นอกจากดูชื่อเรียกและลักษณะแล้ว ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของพื้นที่ด้วย
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงชันโรงในพื้นที่ จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ และเหมาะสมกับพื้นที่มากที่สุด
.
.

พันธุ์ชันโรงท้องถิ่นที่น่าสนใจและเลี้ยงได้

 ภาคกลางของไทย มีพันธุ์ชันโรงท้องถิ่นที่น่าสนใจและเลี้ยงได้หลายชนิดเลยครับ แต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัวและให้ผลผลิตแตกต่างกันไป ลองดูตัวอย่างพันธุ์ยอดนิยมที่นิยมเลี้ยงในภาคกลางนะครับ

พันธุ์ชันโรงยอดนิยมในภาคกลาง:
  • ชันโรงตัวเล็ก (Trigona spp.)
  • ลักษณะ: ขนาดเล็กที่สุดในบรรดาชันโรง ลำตัวสีดำ ทำรังในโพรงไม้เล็กๆ
  • ข้อดี: เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้เร็ว
  • ข้อจำกัด: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย
ชันโรงหางแดง (Tetragonula laeviceps)
  • ลักษณะ: ตัวใหญ่กว่าชันโรงตัวเล็กเล็กน้อย ท้องปล้องท้ายๆมีสีออกแดง ทำรังในโพรงไม้
  • ข้อดี: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งปานกลาง
  • ข้อจำกัด: อ่อนแอต่อศัตรูธรรมชาติ เช่น มด
ชันโรงปากแหว่ง (Tetragonula collina)
  • ลักษณะ: ขนาดลำตัวปานกลาง ปากมีลักษณะแหว่ง ทำรังในโพรงไม้
  • ข้อดี: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งค่อนข้างมาก
  • ข้อจำกัด: อาจดุบ้างเล็กน้อยเมื่อถูกรบกวน
ชันโรงใต้ดิน (Lepidotrigona terminata)
  • ลักษณะ: ตัวเล็กสีดำ ทำรังใต้ดิน
  • ข้อดี: เลี้ยงง่าย ทนทาน
  • ข้อจำกัด: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย มักเลี้ยงเพื่ออนุรักษ์มากกว่า


ก่อนตัดสินใจเลือกพันธุ์ ควรพิจารณา:
ความสะดวกในการดูแล: บางชนิดเลี้ยงง่าย บางชนิดอาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
ปริมาณผลผลิตที่ต้องการ: หากต้องการผลผลิตน้ำผึ้งมาก ควรเลือกพันธุ์ที่ให้น้ำผึ้งมาก
ความเหมาะสมกับพื้นที่: บางชนิดอาจเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ขอแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรงให้ดีก่อนตัดสินใจเลี้ยง
  • เลือกซื้อชันโรงจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้พันธุ์ดี แข็งแรง
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือ เกษตรกรผู้เลี้ยงชันโรง เพื่อขอคำแนะนำ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกพันธุ์ชันโรงที่เหมาะสม
.
.
นอกจากชื่อทางการแล้ว ชาวบ้านก็มีชื่อเรียกชันโรงพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และเรียกกันติดปากมาดูกันว่ามีชื่ออะไรบ้าง

ชื่อเรียกชันโรงแบบชาวบ้านในภาคกลาง:

  • ชันโรงตัวเล็ก: ผึ้งจิ๋ว, แมลงอุง, ขี้ตั๋ว, อีโลม
  • ชันโรงหางแดง: อุงหางแดง, แดงลำ, เลาหางแดง
  • ชันโรงปากแหว่ง: อุงปากแหว่ง, อุงหางแหลม, อุงเมือง
  • ชันโรงใต้ดิน: อุงดิน, อุงใต้ดิน
หมายเหตุ:

ชื่อเรียกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น

ชันโรงบางชนิดอาจมีชื่อเรียกซ้ำกันได้
นอกจากชื่อที่กล่าวมาแล้ว ชาวบ้านยังอาจตั้งชื่อชันโรงตามลักษณะของรัง เช่น
อุงรังใหญ่: หมายถึง ชันโรงที่ทำรังขนาดใหญ่ เช่น ชันโรงหางลาย
อุงรังไม้ไผ่: หมายถึง ชันโรงที่ชอบทำรังในต้นไผ่
ข้อดีของการเรียนรู้ชื่อเรียกแบบชาวบ้าน:
ช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และการแบ่งแยกชนิดของชันโรงแบบง่ายๆ
สะดวกในการสื่อสารกับชาวบ้าน เวลาพูดคุยเรื่องชันโรง
 
.
.
ชื่อ ขนเงิน หลังลาย นี่แห่งชัดเจนเลยว่าเป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกขานชันโรง บ่งบอกถึงความช่างสังเกตของคนสมัยก่อนที่ตั้งชื่อตามลักษณะของชันโรงได้อย่างตรงเป๊ะ!
มาดูกันว่า "ขนเงิน" กับ "หลังลาย" นี่คือชันโรงชนิดไหน

ขนเงิน (Silver Back) คือชื่อเรียกของชันโรง "ชันโรงหางขาว" (Tetragonula sapiens) ซึ่งเป็นชันโรงขนาดกลาง

ที่มาของชื่อ "ขนเงิน": สังเกตได้จากบริเวณด้านหลังของส่วนท้องปล้องที่ 2 จะมีขนละเอียดสีขาวเงิน มองดูคล้ายเคลือบด้วยผงเงิน จึงเป็นที่มาของชื่อ "ขนเงิน" นั่นเอง
ชันโรงขนเงินเป็นที่นิยมเลี้ยงในภาคกลาง เนื่องจาก ให้ผลผลิตน้ำผึ้งปานกลาง รสชาติดี และเลี้ยงง่าย
.

หลังลาย (Stripe Back) มักหมายถึงชันโรง "ชันโรงหางลาย" (Tetragonula melanoleuca) ซึ่งเป็นชันโรงขนาดกลางเช่นกัน

ที่มาของชื่อ "หลังลาย": ดูได้จากด้านหลังของส่วนอก จะมีแถบสีน้ำตาลอ่อนสลับกับสีดำ เป็นลายขวางชัดเจน จึงถูกเรียกว่า "หลังลาย"
นิยมเลี้ยงในภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำผึ้งรสชาติดี แต่เลี้ยงค่อนข้างยากกว่าขนเงิน
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม:
ชื่อเรียกชันโรงแบบชาวบ้าน นอกจากจะบ่งบอกถึงลักษณะภายนอกแล้ว บางครั้งยังบอกถึง พฤติกรรม แหล่งที่อยู่ หรือแม้กระทั่งรสชาติน้ำผึ้ง เช่น "อุงหวาน" "อุงเปรี้ยว"
การเรียกชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทำให้การศึกษาชื่อเรียกแบบชาวบ้าน เป็นเรื่องสนุก และทำให้เราเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นได้มากขึ้น






.

ชันโรง คืออะไร

 ชันโรง คืออะไร

ชันโรง เป็นแมลงสังคมจำพวกผึ้งขนาดเล็ก ไม่มีเหล็กใน จึงไม่ต่อย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละภาค เช่น ขี้ตั๋ว อุง หรือ แมลงอุง
ชันโรงมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศโดยเป็นแมลงผสมเกสร ช่วยผสมพันธุ์พืชผลทางการเกษตร
น้ำผึ้งและเกสรของชันโรงมีคุณค่าทางอาหารสูง มีสรรพคุณทางยา และเป็นที่ต้องการของตลาด

ลักษณะของชันโรง

  • ตัวเล็กกว่าผึ้งพันธุ์ ประมาณ 3-4 มิลลิเมตร บ้างก็เล็กเท่ากับแมลงหวี่
  • ลำตัวมีสีดำ หรือน้ำตาลเข้ม มีขนปกคลุม
  • มีลิ้นยาวสำหรับดูดน้ำหวาน
  • บินได้ในระยะใกล้ๆ ราวๆ 200 เมตรจากรัง

รังของชันโรง

  • ชันโรงทำรังอยู่ในโพรงไม้ โพรงใต้ดิน หรือซอกหิน โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ยางไม้ ผสมกับไขผึ้ง
  • รังชันโรงแบ่งเป็นส่วนๆ มีช่องเก็บน้ำผึ้ง เกสร และ ช่องสำหรับวางไข่

ประโยชน์ของชันโรง

  • ผสมเกสรพืชผลทางการเกษตร ช่วยเพิ่มผลผลิต
  • น้ำผึ้งชันโรง มีคุณค่าทางอาหาร รสชาติเข้มข้น มีราคาสูง
  • เกสรชันโรง มีโปรตีนสูง ใช้เป็นอาหารเสริมได้

การเลี้ยงชันโรง

  • ปัจจุบันนิยมเลี้ยงชันโรงในกล่องไม้ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและเก็บเกี่ยวผลผลิต
  • การเลี้ยงชันโรงไม่ยาก ไม่ต้องให้อาหาร เพียงแค่มีแหล่งอาหาร เช่น ดอกไม้ ผลไม้
  • ชันโรงเป็นแมลงที่ไม่ดุร้าย เลี้ยงง่าย ไม่เป็นอันตรายต่อ