จำหน่ายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้งทุกชนิด


วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2568

งานวิจัยหลายฉบับในประเทศไทยที่ศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรง

 ​มีงานวิจัยหลายฉบับในประเทศไทยที่ศึกษาเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรงและการออกแบบกล่องเลี้ยงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตน้ำผึ้งและการผสมเกสรพืช .​arda.or.th+1ThaiJo2.1: Thai Journal Online+1

🔬 ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

  1. การวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงชันโรงในเขตวนเกษตร
    ศึกษาการเลี้ยงชันโรงในพื้นที่วนเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม .

  2. มหัศจรรย์ชันโรง
    งานวิจัยที่ศึกษาชีววิทยาของชันโรงขนเงิน (Tetragonula pegdeni) และการเลี้ยงในลังไม้เพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำผึ้งและการผสมเกสรพืช .

  3. ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐกิจของการเลี้ยงชันโรงในระบบนิเวศที่เหมาะสม
    วิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงชันโรงในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ .

  4. คู่มือการเลี้ยงชันโรงเพื่อสร้างอาชีพทางเลือก
    ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรงในประเทศไทย รวมถึงเทคนิคการเลี้ยงและการออกแบบกล่องเลี้ยงที่เหมาะสม .

หากคุณสนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบกล่องเลี้ยงชันโรงหรือเทคนิคการเลี้ยงที่เหมาะสม สามารถแจ้งได้เลยครับ ผมยินดีที่จะช่วยสรุปข้อมูลจากงานวิจัยเหล่านี้ให้เข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริงในสวนของคุณ

กล่องเลี้ยงชันโรงแบบ 2 ชั้น “เมื่อไรชันโรงจะขึ้นไปชั้น 2?”

 

ถ้าคุณทำ กล่องเลี้ยงชันโรงแบบ 2 ชั้น (เช่น ชั้นล่างเป็นห้องรังตัว, ชั้นบนเก็บน้ำหวาน) แล้วสงสัยว่า…

“เมื่อไรชันโรงจะขึ้นไปชั้น 2?”



 

✅ คำตอบคือ:

ชันโรงจะขึ้นชั้น 2 ก็ต่อเมื่อ “ชั้นล่างเริ่มแน่น” และมีแรงงานมากพอ
โดยทั่วไปจะเริ่มมีสัญญาณว่า “จะขึ้นชั้นบน” ภายใน 3–6 เดือน หลังตั้งรัง (หรือเร็วช้าตามฤดูกาลและพันธุ์)


🐝 เงื่อนไขที่ทำให้ชันโรง “ขึ้นชั้น 2”:

  1. ห้องรังชั้นล่างแน่นแล้ว

    • ช่องว่างหมด

    • มีห้องตัวอ่อนเยอะ

    • มีห้องเก็บน้ำหวาน-เกสรแน่นจนขยายต่อไม่ได้

  2. มีแรงงานพร้อม

    • จำนวนประชากรเยอะขึ้น มีตัวงานบินหาอาหารได้ดี

    • มีน้ำหวานเก็บมากกว่าที่ชั้นล่างจะรับไหว

  3. อากาศไม่เย็นหรือฝนตกต่อเนื่อง

    • ฤดูฝนมักทำให้พัฒนาเชื่องช้า หรือหยุดขยาย

    • หน้าร้อนหรือปลายหนาว มักเป็นช่วงขยายดีที่สุด


🔎 วิธีสังเกตว่าเริ่มขึ้นชั้น 2 แล้ว:

  • มีเรซินเริ่มปรากฏในช่องชั้นบน

  • มีพนักงานชันโรงบินขึ้นลงระหว่างชั้น

  • เปิดดูชั้นบนแล้วเริ่มมี "ห้องน้ำหวานเล็กๆ" ปรากฏ


💡 เคล็ดลับกระตุ้นให้ขึ้นชั้นไว:

  • ตั้งในที่แดดออกช่วงเช้า อุ่นเร็ว กระตุ้นการทำงาน

  • มีดอกไม้ใกล้ๆ หรือวางน้ำหวาน-เกสรเสริม

  • อย่ารบกวนบ่อยเกินไป โดยเฉพาะช่วงสร้างห้องรัง




ชันโรง เมื่อตื่นแล้ว เขาทำอะไร

 พอตื่นนอนออกจากรังตอนเช้าแล้ว “ชันโรง” จะเริ่มทำงานกันแบบ ไม่มีหยุด ไม่มีเล่นมือถือ ไม่มีเลื่อนฟีดเฟซบุ๊ก ดังนี้:





🐝 ตารางชีวิตย่อของชันโรงหลังตื่น

  1. ตรวจสอบรัง

    • พวกยามจะออกมาวนรอบรัง เช็กความปลอดภัยก่อน

    • ถ้ามีรังคู่แข่งหรือมดมารังควาน จะรีบไล่ทันที

  2. ออกหาอาหาร (รวงงานเริ่มทำงาน)

    • บินออกไปเก็บน้ำหวาน, เกสร, เรซิน (จากต้นไม้)

    • นำกลับมาป้อนให้ตัวอ่อน และเก็บสำรองไว้ในรัง

  3. ช่างก่อสร้างประจำรัง

    • ใช้เรซิน + ขี้ผึ้งซ่อมแซมรูรั่ว

    • สร้างโพรงใหม่ ตกแต่งรังให้แน่นหนาอยู่เสมอ

  4. แม่บ้านรัง (พวกตัวเมียวัยทำงาน)

    • ทำความสะอาดห้องเลี้ยงตัวอ่อน

    • เคลียร์เศษซากต่างๆ ออกนอกบ้าน

  5. พยาบาลประจำรัง

    • เลี้ยงตัวอ่อนด้วยน้ำหวานและเกสรที่ขนกลับมา

    • คอยควบคุมอุณหภูมิและความชื้นในรังด้วยปีกตัวเอง

  6. ว่างแล้ว? ไปบินต่ออีกรอบ

    • ทั้งหมดจะหมุนเวียนกันออกหาอาหารต่อไปเรื่อยๆ จนใกล้เย็น


🌅 สรุปง่ายๆ:

ตื่นเช้ามาไม่ได้นั่งจิบกาแฟ ชันโรงทำงานเลยทันที
ใครอยู่ในรังก็มีหน้าที่ดูแลในรัง
ใครบินได้ ก็ออกไปหาอาหาร
ทำวนทั้งวันจนแดดร่มลมตก แล้วค่อยกลับเข้าบ้าน



 

ชันโรงตื่นกี่โมง

 โดยทั่วไป ชันโรง (Stingless bees) จะเริ่มตื่นและออกทำงานในช่วงเช้า ประมาณ 6:00 – 7:00 น. (ขึ้นอยู่กับแสงแดดและอุณหภูมิ)




รายละเอียดเพิ่มเติม:

  • ถ้าอากาศ อุ่น แดดออกเร็ว: อาจเริ่มบินออกหาอาหารตั้งแต่ 6 โมงเช้า

  • ถ้าอากาศ เย็นหรือฝนตก: อาจเลื่อนออกมาสายกว่านั้น หรือ ไม่ออกเลยทั้งวัน

  • แสงแดด มีผลมาก ชันโรงชอบอากาศอบอุ่น แดดอ่อนๆ ถ้าเลี้ยงไว้ในร่มหรือที่แดดส่องไม่ถึง อาจทำให้ขี้เกียจตื่นหรือหาอาหารน้อยลง

สรุปง่ายๆ:

“ชันโรงเป็นพวกนอนเร็วตื่นเช้า ถ้าแดดมามันก็มา ถ้าอากาศเย็นมันก็แอบซุกอยู่ในบ้าน”




 

ถ้ามันอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ เราก็ตัดท้้งกระบอกมาวางในกล่องได้เลย

 

ชันโรงทำรังอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ วิธีที่ปลอดภัยและได้ผลที่สุดคือ:

🪓 ตัดเอาทั้งกระบอกไม้ไผ่นั้น (ที่มีรังอยู่) มาวางไว้ในกล่องเลี้ยงเลย
แล้วปล่อยให้มันอยู่ต่อ – ขยายรัง – ขนของ – สร้างห้องเก็บน้ำหวานเองในกล่อง



 


📦 วิธีทำ (ง่ายๆ ไม่ให้พัง ไม่ให้หนี)

1. ตัดกระบอกไม้ไผ่พร้อมรัง

  • เลื่อยไม้ไผ่ให้ยาวเลยตัวรังออกมา ~5–10 ซม. ทั้งสองด้าน

  • อย่าเขย่าแรง อย่าทุบ อย่าเคาะ

คิดซะว่าเอา “บ้านพร้อมคนอยู่” มาอย่างนุ่มนวล

2. นำไปใส่ในกล่องไม้ (ชั้นล่าง)

  • ใช้กล่องไม้สูง 4 นิ้ว กว้างพอให้ไม้ไผ่วางนอนแนบ

  • ใช้เศษไม้หรือฟองน้ำ หนุนไว้กันกลิ้ง

  • เจาะรูจากด้านหน้าให้ตรงกับปากกระบอกเดิม (หรือปล่อยให้มันต่อปากใหม่เองก็ได้)

3. ตั้งกล่องไว้ที่เดิมหรือใกล้เคียง

  • เพื่อให้ชันโรงหาทางกลับรังได้

  • หรือถ้าย้ายไกล ค่อยๆ เปิดรูใหม่ให้มันค่อยๆ ปรับตัว (ใช้กลิ่นล่อช่วยได้)


💡 เคล็ดลับ:

  • ถ้าอยากให้ “ขนของออกมาไว้ในกล่อง” → เปิดฝาไม้ไผ่ด้านหลังนิดเดียว

  • หรือค่อยๆ เจาะรูกระบอกด้านบน → ชันโรงจะเริ่มสร้างโพรงเชื่อมกับกล่องเอง


📌 สรุปแบบชาวสวน:

“มันอยู่ในไม้ไผ่ ก็เอาไม้ไผ่ไปใส่กล่องไม้เลย
ไม่ต้องแงะ ไม่ต้องแคะ ไม่ต้องล้วง
อยู่ต่อในกล่องได้แน่นอน แถมขยายรังไวขึ้นด้วย”

พันธุ์ชันโรงที่นิยมทำรังในกระบอกไม้ไผ่

 

🐝 พันธุ์ชันโรงที่นิยมทำรังในกระบอกไม้ไผ่ (หรือโพรงแคบ-ลึก) ได้แก่:




1. ✅ ชันโรงขนเงิน (Tetragonula pagdeni)

  • พันธุ์ยอดนิยมของไทย

  • ชอบรังที่ลึกและแคบ เช่น กระบอกไม้ไผ่ หรือท่อ PVC

  • ตัวเล็ก ขนสีเงินบางๆ ตรงอก

  • ขยายรังเร็ว น้ำหวานเยอะ

  • เหมาะสุดๆ กับกล่องทรงยาว หรือกระบอกไม้ไผ่


2. ✅ ชันโรงปากหมู (Lepidotrigona terminata)

  • ปากรังมีลักษณะกลมมนเหมือน “ปากหมู”

  • ทำรังในไม้กลวงเล็กๆ ลึกๆ เช่นกระบอกไม้ไผ่ หรือโพรงไม้เตี้ย

  • ตัวเล็ก ดุพอสมควร แต่เลี้ยงได้

  • น้ำหวานหอมมาก นิยมใช้ในสวนทุเรียน


3. ✅ ชันโรงปากแตร (Lepidotrigona ventralis)

  • ปากรังเป็นรูปแตรยื่นยาวออกมา

  • ชอบรังที่โปร่ง อากาศถ่ายเท แต่ก็อยู่ในไม้ไผ่ได้ดี

  • รังจะต่อท่อแตรยาวๆ ออกมานอกกระบอก

  • น้ำหวานใส หอมอ่อน


🧱 ลักษณะของ “กระบอกไม้ไผ่” ที่เหมาะ:

  • ความยาว: 30–50 ซม.

  • เส้นผ่านศูนย์กลาง: 10–15 ซม.

  • มีฝาปิดด้านหลัง และ เจาะรูด้านหน้า ขนาด ~1 ซม.

  • ด้านในไม่ต้องขัดมันมาก → ชันโรงจะติดเรซินได้ง่าย


💡 สรุปแบบชาวสวน:

“ถ้าอยากให้ชันโรงอยู่ไม้ไผ่ดีๆ เลี้ยงง่าย ต้องเอา ‘ขนเงิน’ หรือ ‘ปากหมู’ มาใส่
มันชอบที่แคบลึกเหมือนโพรงไม้ไผ่ธรรมชาติ
ปากแตรก็อยู่ได้ แต่จะต่อท่อโผล่ออกมายาวๆ ดูเท่ไปอีกแบบ!”

ขุดหรือเลื่อยเอาทั้งรัง (พร้อมเนื้อไม้รอบๆ) มาวางไว้ในกล่องเลี้ยง

 กรณีของชันโรง “ย้าแดง” หรือพันธุ์ที่ทำรังแข็งในโพรงไม้




👉 วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือ:

"ขุดหรือเลื่อยเอาทั้งรัง (พร้อมเนื้อไม้รอบๆ) มาวางไว้ในกล่องเลี้ยง"
แล้วปล่อยให้ชันโรงขยายรังต่อเองโดยไม่รบกวนโครงสร้างเดิม


🔧 วิธีทำ (แบบไม่ให้รังพัง ไม่ให้ชันโรงหนี)

1. เตรียมกล่องก่อน

  • ใช้กล่องไม้จริง (ไม่บางเกินไป)

  • ขนาดชั้นล่าง: ยาว 30–60 ซม. / กว้าง 13–14 ซม. / สูง 4 นิ้ว

  • เจาะรูทางเข้ากล่องด้านหน้า ขนาด 1 ซม.

2. ขุดหรือเลื่อยไม้พร้อมรัง

  • ขุดไม้ (หรือเลื่อย) รอบๆ รังให้เหลือ เนื้อไม้หุ้มรังไว้ราว 10–15 ซม.

  • ระวังอย่าให้โครงสร้างรังแตก

  • ไม่ต้องขูด ไม่ต้องแงะ ไม่ต้อง “แทะเข้าไปดูข้างใน”

ทำใจว่าเราเอา "บ้านพร้อมคนอยู่" มาไว้ในกล่องใหม่

3. วางทั้งรังลงในกล่อง

  • วางในตำแหน่งกลางกล่อง หรือเยื้องไปทางปากรู

  • ใช้เศษไม้ / กระดาษลัง รองกันโยกไปมา

  • ปิดฝากล่อง แล้วเจาะรูให้ชันโรงออกได้สะดวก

4. ตั้งกล่องไว้ตรงที่เดิม

  • วางกล่องที่จุดเดิมที่ตัดรังออกมา จะช่วยให้พวกงานหาทางกลับได้

  • หรือวางใกล้ๆ เดิม แล้ว ป้ายกลิ่นรังเก่าที่รูทางเข้าใหม่


📌 สรุปแบบชัดๆ:

“อย่าพยายามย้ายตัวรังออกจากโพรงโดยตรง”
เพราะรังย้าแดงมันแข็งและพังง่าย
วิธีดีที่สุดคือ...
🪓 ตัดเป็นก้อนพร้อมไม้ → วางในกล่องใหม่ → รอให้มันขยายต่อเอง



 

ชันโรงพันธุ์ “ย้าแดง” สามารถย้ายมาเลี้ยงในกล่องได้

 

ชันโรงพันธุ์ “ย้าแดง” สามารถย้ายมาเลี้ยงในกล่องได้
แต่ต้องรู้เทคนิคเฉพาะหน่อย เพราะ…






🐝 “ย้าแดง” มีลักษณะพิเศษที่ต่างจากพันธุ์อื่น:

  1. รังภายนอกแข็งมาก

    • บางคนบอกว่า "เหมือนปูนซีเมนต์ผสมขี้ผึ้ง"

    • ใช้เรซินหนาเคลือบรอบรัง จนเหมือนรังมดหรือโพรงไม้กลวงแข็ง

  2. โพรงรังไม่เป็นระเบียบ

    • ไม่จัดเรียงห้องเป็นแถวๆ แบบขนเงินหรือปากหมู

    • อาจดูเหมือนรังมดแต่วุ่นวายแปลกๆ

  3. ติดรังแน่น

    • บางครั้งกัดไม้จนฝังแน่น ทำให้ย้ายยากถ้าไม่มีเครื่องมือหรือไม่ค่อยชำนาญ


🧱 ถ้าจะย้ายใส่กล่อง ทำอย่างไร?

✅ วิธีแนะนำ:

  1. ไม่ต้องแงะรังออกมาทั้งหมด

    • ตัดไม้ที่เขาอยู่นั่นแหละทั้งชิ้น แล้วเอาไปใส่ไว้ในกล่องเลี้ยง

    • วางไว้ในห้องล่าง (กล่องขนาด 30–60 ซม. สูง 4 นิ้ว)

  2. ใช้ไม้รอง/กันสั่น

    • ใช้กระดาษลังหรือเศษไม้ชิ้นเล็กๆ รองด้านข้าง ไม่ให้รังเคลื่อนไปมา

  3. เจาะรูทางเข้าใหม่ แล้วนำกล่องไปตั้งตรงที่เดิม

    • ใช้กลิ่นเดิมช่วยให้เขาจำที่อยู่

    • หลังจากนั้น ชันโรงจะขยายรังต่อภายในกล่องเอง

  4. ทาฟีโรโมนรอบปากทางเข้า

    • กระตุ้นให้พวกงานเริ่มบินเข้าออกทางใหม่ และเริ่มปรับตัว


⚠️ ข้อควรระวัง:

  • ห้ามขูดรังหรือเอาออกแรงๆ เด็ดขาด — จะเสียหายและหนีหมด

  • ถ้ารังใหญ่มาก อาจต้อง เจาะกล่องตามทรงรัง เพื่อให้พอดี


✅ สรุปแบบบ้านๆ:

“ชันโรงย้าแดงมันหัวแข็ง รังแข็ง แต่ใจดี
ถ้าไม่งัดมันแรงๆ แล้วเอารังทั้งอันใส่กล่อง มันก็อยู่ได้ดี ไม่หนี
แถมพอปรับตัวได้ จะขยันทำรังมาก!”




 

“ย้าแดง” หรือ “ชันโรงย่าแดง”

 “ย้าแดง” หรือ “ชันโรงย่าแดง” (บางที่เขียนว่า ย้าแดง)

เป็นชื่อเรียกตามท้องถิ่น ของชันโรงพันธุ์หนึ่งครับ





🐝 สรุปข้อมูล:

  • ชื่อท้องถิ่น: ชันโรงย้าแดง / ย่าแดง

  • ลักษณะเด่น:

    • ตัวเล็ก ขนบางๆ ออกสีแดงอมน้ำตาล

    • ชอบทำรังในโพรงไม้เตี้ยๆ หรือไม้กลวง

    • ขยัน แต่ไม่ดุ

    • ผลิตน้ำหวานในปริมาณกลางๆ

  • พฤติกรรม:

    • ชอบแสง และอากาศอบอุ่น

    • ไม่ค่อยแย่งรังกับชันโรงพันธุ์อื่น

    • ถ้าเลี้ยงดี จะอยู่ยาวและยอมขึ้นชั้นเก็บน้ำหวานง่าย


🔎 แล้วมันชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอะไร?

ยังไม่มีชื่อวิทยาศาสตร์ระบุแน่ชัดสำหรับ “ย้าแดง”
เพราะเป็นชื่อเรียกตามท้องถิ่น อาจตรงกับหนึ่งในกลุ่ม Tetragonula หรือ Lepidotrigona
ต้องดูจากขนาด รูปปาก และพฤติกรรมร่วมด้วย


📌 สรุป:

“ย้าแดง” ใช่ครับ เป็นชื่อชันโรงที่ชาวบ้านเรียกจริงๆ
ถ้าเจอคนขายบอกว่า “พันย้าแดง อยู่ดี น้ำหวานหอม” ก็เชื่อได้ระดับหนึ่ง
แต่ถ้าจะเลี้ยงจริง ควรดู รูปร่าง-ปาก-สี-พฤติกรรม ร่วมด้วยนะครับ





 

หลักการออกแบบกล่องเลี้ยงชันโรงที่ดี

 

🧱 1. หลักการออกแบบกล่องเลี้ยงชันโรงที่ดี




ลักษณะทั่วไปของกล่องที่เหมาะสม

  • วัสดุ: ไม้เนื้อแข็ง หรือไม้เก่า (เช่น ไม้สัก, ไม้ประดู่) เพราะอุ้มน้ำได้น้อยและมีความทนทาน

  • พื้นผิวด้านใน: ไม่ควรขัดมันเกินไป เพื่อให้ชันโรงยึดเรซินได้ง่าย

  • ทาสีด้านนอก: ใช้สีออร์แกนิก เช่น สีฟักทอง น้ำตาล หรือสีไม้ธรรมชาติ เพื่อสะท้อนความร้อนน้อย

ขนาดกล่อง (โดยทั่วไป)

อิงจากพฤติกรรมของชันโรงสายพันธุ์ Tetragonula spp.

  • ยาว: 30–60 ซม.

  • กว้าง: 13–14 ซม.

  • สูง: 4 นิ้ว (สำหรับห้องรังตัว) / 6 นิ้ว (ห้องเก็บน้ำหวาน)

  • รูทางเข้า: ขนาด 0.8–1.2 ซม. (เจาะเอียงเล็กน้อยลงล่าง ป้องกันฝนเข้า)

การเจาะรูระหว่างชั้น

  • ขนาด: 1.2–1.5 ซม.

  • จำนวน: 1–2 รู

  • ตำแหน่ง: กึ่งกลางเพดานห้องล่าง (หรือเยื้องด้านหน้ากล่อง)


🐝 2. เทคนิคการเลี้ยงที่เหมาะสมจากงานวิจัย

🪴 สถานที่ตั้งกล่อง

  • วางให้ “แดดเช้าโดน แดดบ่ายร่ม” หรือมีร่มไม้บางๆ พาด

  • วางสูงจากพื้นดินประมาณ 50–100 ซม. เพื่อป้องกันมด

🌼 แหล่งอาหาร

  • ภายในรัศมี 100 เมตร ควรมีพืชดอก เช่น งา มะลิ ตำลึง ต้นกล้วย ทองอุไร ฯลฯ

  • เสริมอาหาร: น้ำเชื่อมผสมน้ำผึ้ง 1:4 ช่วงแล้ง เพื่อไม่ให้ย้ายรัง

🧴 กลิ่นล่อ

  • ทา "ฟีโรโมนขี้ชัน" รอบปากรูกล่อง เพื่อกระตุ้นให้อยู่รัง

  • บางสวนใช้น้ำมันอบเชย กานพลู หรือน้ำผึ้งแท้ทาบางๆ ที่ปากทางเข้า

🧹 การดูแลรักษา

  • เปิดฝาตรวจรังเดือนละครั้งก็พอ อย่ารบกวนบ่อย

  • ทำความสะอาดบริเวณรอบกล่อง ไม่ให้มดหรือปลวกรบกวน

  • เก็บน้ำหวานเฉพาะชั้นบน เพื่อไม่ให้รังเสียสมดุล

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568

🐝 คู่มือทำกล่องเลี้ยงชันโรงแบบบ้านๆ (ฉบับพกพา)

 

🐝 คู่มือทำกล่องเลี้ยงชันโรงแบบบ้านๆ (ฉบับพกพา)





📦 วัสดุหลัก

  • ไม้หนา 1.5-2 ซม. (ไม้สัก, ไม้ประดู่, ไม้เนื้อแข็ง)

  • ขนาดตัวกล่อง:
    ➔ กว้าง 14 ซม.
    ➔ ยาว 28 ซม.
    ➔ สูง 12 ซม.

🕳️ รูทางเข้า

  • เจาะรูเดียวตรงกลาง ด้านหน้ากล่อง

  • ขนาดรู: 8-10 มิลลิเมตร

  • ตำแหน่งรู: สูงจากพื้นกล่อง 5-6 ซม.

  • ใส่ปากขวด หรือท่อ PVC 3 หุน (9-10 มม.) ได้ ถ้าต้องการกันมด

🛠️ ฝาปิดกล่อง

  • ใช้ไม้บาง หนา 1-1.5 ซม.

  • แบบยกเปิดได้ (ใช้บานพับ หรือวางแนบเฉยๆ แล้วรัดเชือก)

  • ถ้าเลี้ยงปากหมู ➔ ซีลขอบด้วยขี้ผึ้งเก่า / ซิลิโคนใส

  • ถ้าเลี้ยงขนเงิน/อืตาม่า ➔ ปล่อยให้ระบายลมได้บ้าง

☀️ หลังคากันแดด/กันฝน

  • ใช้ไม้แผ่น หรือสังกะสี ขนาดใหญ่กว่ากล่องทุกด้านอย่างน้อย 5 ซม.

  • ยึดสูงกว่าฝา 1-2 ซม. เพื่อระบายความร้อน

📍 การตั้งกล่อง

  • วางบนขาตั้งสูง 50-80 ซม.

  • ทาน้ำมันเครื่องเก่า หรือวาสลีนรอบเสา กันมด

  • ถ้าเลี้ยงชันโรงชอบแสง ➔ วางใต้ต้นไม้โปร่ง

  • ถ้าเลี้ยงชันโรงชอบมืด ➔ วางใต้ถุนบ้าน หรือในที่ร่มสนิท

🐝 เคล็ดลับล่อชันโรง

  • ทาไขชันโรงเก่า / ขี้ผึ้งบางๆ ที่ปากรู

  • ถ้ามีรังเก่า ➔ ป้ายเศษรังไว้ที่ปากรูช่วยล่อดีขึ้น


🎯 สรุป

  • เลี้ยงปากหมู/ปากแตร ➔ กล่องหนา ปิดมิดชิด มืดสนิท

  • เลี้ยงขนเงิน/อืตาม่า/ปากหม้อ ➔ กล่องโปร่งบ้าง เย็นสบาย


💬 หมายเหตุ:
ใช้ไม้เก่าได้ยิ่งดี ชันโรงชอบ! ไม้ใหม่ต้องตากแดดก่อนใช้งาน 2-3 เดือน

แบบกล่องเลี้ยงชันโรง "สเปกบ้านๆ"

 

🔥 แบบกล่องเลี้ยงชันโรง "สเปกบ้านๆ"

(เน้นง่าย ถูก และเลี้ยงได้จริง)





1. ตัวกล่อง (โพรงรัง)

  • ใช้ไม้หนา: 1.5 - 2 เซนติเมตร (ไม้สัก, ไม้ประดู่, ไม้เต็ง, ไม้มะค่า ฯลฯ)

  • ขนาดกล่อง:
    ➔ กว้าง 14 ซม.
    ➔ ยาว 28 ซม.
    ➔ สูง 12 ซม.

(ขนาดนี้เหมาะกับชันโรงหลายพันธุ์ ขยายพันธุ์ไว เก็บน้ำหวานสะดวก)


2. รูทางเข้า

  • ขนาดรู: 8-10 มิลลิเมตร (เจาะพอดีตัวชันโรง)

  • ตำแหน่งรู: เจาะกลางด้านหน้ากล่อง สูงจากพื้นกล่องประมาณ 5-6 ซม.

  • วัสดุเสริม:
    ➔ จะใส่ปากขวด หรือท่อพีวีซีขนาด 3 หุน (9-10 มม.) ก็ได้
    ➔ หรือจะปล่อยเป็นรูไม้เฉยๆ ก็ได้ ถ้าเลี้ยงพันธุ์ขนเงิน/อืตาม่า


3. ฝาปิดกล่อง

  • ใช้ไม้เรียบๆ หนา 1-1.5 ซม.

  • แบบเปิดฝา: ยกฝาขึ้นได้ (ใช้บานพับเล็กๆ 2 ตัว หรือวางแนบเฉยๆ แล้วรัดด้วยเชือก/หนังยาง)

  • ซีลขอบ:
    ➔ ถ้าเลี้ยงชันโรงชอบมืด (ปากหมู) → อุดขอบด้วยขี้ผึ้งเก่า, กาวซิลิโคนใส
    ➔ ถ้าเลี้ยงขนเงิน/อืตาม่า → ไม่ต้องปิดขอบแน่น ปล่อยให้ระบายอากาศได้บ้าง


4. หลังคากันแดด กันฝน

  • ใช้แผ่นไม้หรือแผ่นสังกะสี กว้างกว่าโครงกล่องอย่างน้อย 5 ซม. ทั้ง 4 ด้าน

  • เผื่อชายยื่นออก ป้องกันแดดฝนสาดลงทางเข้า

  • ยึดหลังคาด้วยไม้ระแนงสูงขึ้นจากตัวกล่องเล็กน้อย (1-2 ซม.)


5. การตั้งกล่อง

  • วางบนขาตั้งไม้สูงจากพื้น 50-80 ซม. (กันน้ำขัง กันมด)

  • ทาน้ำมันเครื่องเก่า หรือปิโตรเลียมเจลี่รอบขาตั้ง (กันมดไต่ขึ้น)

  • ตั้งในที่มีร่มเงา ถ้าเลี้ยงขนเงิน/อืตาม่า

  • ตั้งในที่มืดมากๆ ถ้าเลี้ยงปากหมู/ปากแตร (เช่น ใต้ถุนบ้าน, ในเพิง)


🎯 ข้อควรจำ

  • ใช้ไม้เก่า จะดีที่สุด ชันโรงชอบไม้ที่ไม่มีกลิ่นฉุน

  • ถ้าใช้ไม้ใหม่ → ตากแดด 2-3 เดือนก่อน

  • อย่าทำรูทางเข้าใหญ่เกินไป → กันแมลงตัวใหญ่ศัตรูเข้า

  • ถ้าอยากล่อให้เข้ารังไว → ทาไขผึ้งชันโรงที่รูทางเข้า+รอบปากกล่อง








ตัวอย่างแบบ "กล่องไม้สำหรับชันโรง

 

🕳️ ตัวอย่างแบบ "กล่องไม้สำหรับชันโรงชอบโพรงมืดสนิท"

(เหมาะกับ: ปากหมู, ปากแตร)

ลักษณะกล่อง:

  • ไม้หนา: ไม้หนา 2-3 ซม. (ไม้สัก, ไม้ประดู่, ไม้เนื้อแข็งพอควร)

  • ขนาดตัวกล่อง: กว้าง 14-16 ซม. × ยาว 24-30 ซม. × สูง 12-15 ซม.

  • รูทางเข้า:
    → เจาะรูเดียวกลางกล่อง ขนาดประมาณ 8-10 มิลลิเมตร
    → ถ้าใส่ท่อ PVC หรือปากขวด ให้ยื่นออกมาแค่ 1-2 ซม.

  • ภายในกล่อง: โพรงลึก ไม่มีแสงลอด

  • ฝาปิด: ใช้ฝาปิดสนิทแบบยกเปิดได้ (อย่าเปิดทิ้งบ่อย)

  • ซีลขอบ: ใช้ซิลิโคนใส หรือเทียนขี้ผึ้งเก่าๆ อุดตามขอบปิดรอยแสง

  • ตำแหน่งตั้ง: ตั้งในที่ร่มใต้ต้นไม้ใหญ่ หรือทำหลังคากันแดด/กันฝนซ้อนอีกชั้น


🌤️ ตัวอย่างแบบ "กล่องไม้สำหรับชันโรงชอบร่มโปร่งสว่างบ้าง"

(เหมาะกับ: ขนเงิน, อืตาม่า, ปากหม้อ)

ลักษณะกล่อง:

  • ไม้หนา: ไม้หนา 1-1.5 ซม. ก็พอ (ไม่ต้องหนามาก)

  • ขนาดตัวกล่อง: กว้าง 12-14 ซม. × ยาว 22-28 ซม. × สูง 10-13 ซม.

  • รูทางเข้า:
    → เจาะรูเดียวหรือ 2 รูเล็ก (ขนาด 8-10 มิล)
    → ไม่ต้องทำลึกมาก เอาให้ทะลุกล่องเข้าโพรงเลย

  • ภายในกล่อง: โปร่งโล่งนิดๆ มีอากาศถ่ายเท แต่ไม่ร้อนอบ

  • ฝาปิด: ใช้ฝาแบบยกเปิดได้ง่าย อาจมีรูระบายอากาศขนาดเล็กด้านบนด้วย

  • ซีลขอบ: ไม่ต้องปิดแน่นทุกจุด เอาแบบพอมีลมพัดเข้าได้บ้าง

  • ตำแหน่งตั้ง: ตั้งในที่ร่มรำไร เช่น ใต้ร่มไม้โปร่ง, มีสังกะสีกันฝนด้านบนอีกชั้น


🛠️ เคล็ดลับพิเศษสำหรับทำกล่อง

  • ทาไขล่อชันโรงบางๆ ที่ปากทางเข้า

  • ใช้ "ไม้เก่า" หรือ "ไม้ใหม่ที่ตากแห้งสนิท" แล้ว ไม่มีกลิ่นไม้แรง

  • อย่าใช้ไม้เรซินกลิ่นฉุน เช่น ไม้ยางใหม่สดๆ เพราะชันโรงไม่ชอบ

  • ถ้าใช้ไม้ใหม่สด → ต้องตากแดดแรงๆ 2-3 เดือนก่อนทำกล่อง


🎯 สรุป

  • เลี้ยงปากหมู ปากแตร ➔ กล่องต้องหนา ปิดทึบ ไม่มีรอยแสง

  • เลี้ยงขนเงิน อืตาม่า ปากหม้อ ➔ กล่องบางเบา โปร่งร่มเย็นพอประมาณ




มีพันไหนบ้างชอบโพรงมืดมิด

 

🕳️ พันธุ์ชันโรงที่ "ชอบโพรงมืดสนิท" (Dark-loving species)

  1. ปากหมู (Lepidotrigona ventralis)

    • ✅ ตัวค่อนข้างใหญ่

    • ✅ ชอบโพรงที่ลึก มืดสนิท ไม่มีแสงลอด

    • ✅ ถ้าโพรงสว่างหรือรูใหญ่โล่งเกินไป → จะไม่ยอมเข้า หรือเข้าไปแล้วหนี

    • ✅ ชอบโพรงไม้ตัน รูกว้างแค่พอตัวเข้า

    • 🔥 ถ้าเลี้ยงปากหมู → กล่องต้อง "หนา" และ "ปิดแสงทุกด้าน" เหลือแค่รูเล็กๆ

  2. ปากแตร (Tetrigona apicalis)

    • ✅ ตัวขนาดกลาง

    • ✅ ชอบโพรงที่มืดมาก เหมือนไปซ่อนตัวในโพรงไม้ลึกๆ

    • ✅ เจอในธรรมชาติ มักทำรังในโพรงไม้เน่าในป่าลึก


🌤️ พันธุ์ที่ "ชอบแสงบ้าง แต่ไม่ใช่สว่างจ้า"

(เอากึ่งกลางไว้)

  • ขนเงิน (Tetragonula pagdeni) → ชอบมีแสงบ้าง ไม่มืดเกิน

  • อืตาม่า (Tetragonula laeviceps) → ชอบแสงอ่อน ไม่ร้อนจัด

  • ปากหม้อ (Lepidotrigona terminata) → ทนแสงพอได้ แต่ไม่ควรสว่างโพลน

  • .


📋 สรุป "พันธุ์ชันโรงที่ชอบโพรงมืดสนิท"

  • ปากหมู (Lepidotrigona ventralis)
    ➔ ชอบโพรงที่มืดทึบ ไม่มีแสงลอดเข้าเลย
    ➔ ต้องใช้กล่องไม้หนา ปิดขอบสนิท ไม่ให้รั่วแสง
    ➔ ทางเข้าเล็กๆ แค่พอตัวชันโรงลอดได้

  • ปากแตร (Tetrigona apicalis)
    ➔ ชอบโพรงลึกและมืดแบบสุดๆ
    ➔ คล้ายปากหมู แต่ตัวเล็กกว่าเล็กน้อย
    ➔ ต้องกล่องมิดชิด ป้องกันแสงทุกทิศทาง


📋 สรุป "พันธุ์ที่ไม่ต้องมืดสนิท แต่ชอบร่มๆ แสงอ่อนๆ"

  • ขนเงิน (Tetragonula pagdeni)
    ➔ ชอบแสงนวลๆ บ้าง ไม่ต้องมืด
    ➔ ตั้งกล่องไว้ในที่มีร่มเงาไม้พอสมควร

  • อืตาม่า (Tetragonula laeviceps)
    ➔ ชอบแสงอ่อนๆ แต่ไม่โล่งเตียน
    ➔ กล่องควรมีร่มไม้หรือมีหลังคาบังแดดให้

  • ปากหม้อ (Lepidotrigona terminata)
    ➔ รับได้ทั้งที่มีแสงพอสมควรและในที่ร่ม
    ➔ ตั้งกลางแจ้งได้ถ้าอากาศไม่ร้อนจัด


🎯 สรุปง่ายสุด:

  • ถ้าอยากเลี้ยง ปากหมู-ปากแตร ➔ ต้องกล่องหนา มืดสนิท

  • ถ้าอยากเลี้ยง ขนเงิน-อืตาม่า-ปากหม้อ ➔ กล่องโปร่งนิดๆ มีร่มไม้หรือหลังคากันแดดบางส่วน




กล่องชันโรง ทางเข้า นี่จำเป็นไหมที่ต้องตัดเอาปากขวดน้ำดื่น ที่ติดที่ทางเข้า ที่เจาะรูไว้อักทีนึง

 

ตอบแบบตรงไปตรงมา:
ไม่จำเป็นต้องติด "ปากขวดน้ำดื่ม" ไว้ที่รูทางเข้ากล่อง ทุกกรณี ครับ แต่…
การติด "ปากขวดน้ำดื่ม" มี ข้อดี และ ข้อเสีย ตามนี้:

✅ ข้อดีของการติดปากขวด (หรือท่อ PVC เล็กๆ) ที่ทางเข้า

  • ป้องกันมดขึ้นรังได้ดีขึ้น (เพราะมดยากที่จะปีนผ่านปากขวดแคบๆ ลื่นๆ)

  • ช่วยชันโรงป้องกันรังตัวเองได้ง่ายขึ้น เพราะชันโรงจะเอาขี้ผึ้งมาปิดปากขวดให้พอดีกับขนาดตัวเอง

  • ป้องกันน้ำฝนและลมแรง เวลาฝนตกหนัก น้ำไม่ไหลเข้าไปในรังโดยตรง

  • ทำให้อุณหภูมิและความชื้นในกล่องเสถียรขึ้น ชันโรงชอบรังที่มีอุณหภูมิคงที่

❌ ข้อเสียถ้าใช้ผิดวิธี

  • ถ้าติด "ยาวเกินไป" (ยื่นออกมายาวเกิน 1-2 ซม.) → ชันโรงลังเลไม่เข้า เพราะมันมองว่ารังนี้เหมือนโพรงลึกเกิน

  • ถ้ารู "เล็กเกินไป" (เช่นใช้ฝาปากขวดขนาดเล็กเกิน 8-10 มิล) → ชันโรงบางสายพันธุ์เข้าไม่ได้ เช่น ชันโรงตัวใหญ่พวกปากหมู

  • ถ้า "ติดไม่เรียบร้อย" มีรอยกาวเยิ้ม → ชันโรงไม่ชอบ หรืออาจมีแมลงอื่นมารังควาน


สรุปสำหรับกล่องในภาพคุณ

  • กล่องทำมาดีมาก วางบนฐานไม้สูง ป้องกันมดพอใช้ได้

  • ปากขวดติดอยู่แล้ว (อันนี้ดี ถ้าขนาดพอดี ไม่เล็กเกิน)

  • หากรูทางเข้าไม่ลึกเกินไป และไม่เบียดขวางไม่จำเป็นต้องถอดออก ครับ ปล่อยไว้ได้เลย

ยกเว้น ถ้า...

  • คุณสังเกตว่ามีชันโรงวนเวียน แต่ "ไม่ยอมเข้า" → ค่อยพิจารณาตัดออก

  • หรือ อยากเปลี่ยนเป็นแบบเจาะไม้เปล่าๆ เพื่อให้ดูธรรมชาติกว่า


ถ้าอยากได้แบบมืออาชีพจริงๆ (แบบที่คนทำกล่องขายกัน):

  • ใช้ท่อ PVC ขนาดรู ประมาณ 8-10 มิล เจาะสั้นๆ แค่ 1-2 ซม. ยื่นออกมา

  • ติดกาวซิลิโคนรอบๆ อย่าให้มีรอยเยิ้ม

  • ปรับองศารูทางเข้าเอียงลงนิดๆ (กันน้ำฝนเข้า)


.............................................

1. ขนาดกล่อง

  • กล่องไม่ใหญ่มาก (จากการกะสายตา น่าจะยาวประมาณ 25-30 ซม. สูง 10-15 ซม.)

  • ช่องทางเข้ามีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่เกินไป ไม่เล็กจนเกินไป (รูประมาณ 1 ซม.)

เหมาะสำหรับชันโรงขนาดกลางถึงเล็ก เช่น:

  • ขนเงิน (Tetragonula pagdeni) → เล็ก, ว่องไว, ชอบโพรงกลางแจ้ง

  • อืตาม่า (Tetragonula laeviceps) → เล็กจิ๋ว, ชอบที่โปร่ง มีแสงบ้าง

  • ปากหม้อ (Lepidotrigona terminata) → ขนาดกลาง ชอบโพรงที่โปร่งสว่าง


2. ลักษณะทางเข้า

  • มีการติดปากขวด ทำให้ป้องกันมดและน้ำได้ดี

  • ช่องทางเข้าไม่ลึกเกินไป ดูธรรมชาติ ไม่ทำให้ชันโรงลังเล

เหมาะกับสายพันธุ์ที่ต้องการ "โพรงปลอดภัย" แต่ยังรับแสงบ้าง เช่น:

  • ขนเงิน และ อืตาม่า ชอบลักษณะนี้มาก


3. สภาพแวดล้อม

  • มีกันสังกะสีโค้งกันฝนไว้ด้านบน → ป้องกันฝนสาดได้ดี

  • ตั้งบนเสาไม้เตี้ยๆ ไม่มีเถาวัลย์พันเสา → กันมดได้ระดับหนึ่ง (ถ้าอยากชัวร์ควรทาน้ำมันเครื่องรอบเสาด้วย)

  • บริเวณโดยรอบมีเศษใบไม้แห้ง → บรรยากาศดี ธรรมชาติ ชันโรงชอบ

เหมาะสำหรับสายพันธุ์ที่ไม่กลัวพื้นที่โล่งมาก เช่น:

  • ขนเงิน

  • ปากหม้อ

  • (ไม่เหมาะกับชันโรงบางสายพันธุ์ที่ขี้ตกใจ เช่น ปากหมู เพราะปากหมูชอบซ่อนในที่มืดสนิท)


🎯 สรุป

กล่องนี้ "พร้อมใช้งานได้ดีมาก" สำหรับชันโรงขนาดกลางถึงเล็ก ได้แก่:

  • ขนเงิน (Tetragonula pagdeni) → ตัวเล็ก สร้างรังเร็ว เก็บน้ำหวานเก่ง

  • อืตาม่า (Tetragonula laeviceps) → เล็กจิ๋ว ขยัน ขี้กลัวนิดหน่อย

  • ปากหม้อ (Lepidotrigona terminata) → ขนาดกลาง กัดไม้เก่ง เก็บน้ำหวานไว

แต่ อาจไม่เหมาะ ถ้าจะเลี้ยง

  • ปากหมู (Lepidotrigona ventralis) → ตัวใหญ่ ต้องการโพรงมืดสนิท ใหญ่กว่า


💡 เคล็ดลับเสริม

  • อย่าลืมทาไขชันโรง ล่อกลิ่นไว้รอบปากทางเข้าด้วยนะครับ เพื่อเร่งให้ตัวสำรวจมาสำรวจรังเร็วขึ้น

  • ถ้าเอา น้ำผึ้งชันโรงเก่า หรือ รังเก่าแตกๆ มาแตะๆป้ายทางเข้า → ยิ่งล่อดีขึ้นอีก




วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2568

การต่อรัง ชันโรง (ผึ้งจิ๋วไม่มีเหล็กใน) แบบ "ย้ายรังจากผนังบ้านเข้ากล่องไม้"

 การต่อรัง ชันโรง (ผึ้งจิ๋วไม่มีเหล็กใน) แบบ "ย้ายรังจากผนังบ้านเข้ากล่องไม้" ซึ่งใช้วิธีที่ชาวบ้านเรียกว่า “ต่อรัง” หรือ “ดักรัง” เพื่อเลี้ยงชันโรงให้เป็นระบบมากขึ้น โดยเฉพาะจากรังธรรมชาติที่อยู่ในผนังปูนหรือโพรงไม้





🔧 อธิบายการต่อรังแบบในภาพ

  1. เจาะรูที่ผนัง

    • สังเกตจากภาพจะเห็นรูที่ผนังซึ่งเป็นทางเข้าออกเดิมของชันโรงที่ทำรังในร่องอิฐหรือรอยแตกร้าว

    • นี่คือจุดที่มีรังชันโรงอยู่ด้านใน

  2. ต่อกล่องไม้เข้ากับทางเข้าเดิม

    • กล่องไม้ที่ติดอยู่นั้นมีช่องเจาะด้านล่างให้ตรงกับรูเดิมในผนัง

    • ใช้ท่อพลาสติกหรือกระดาษพันเป็นท่อ (ในภาพใช้ท่อสีฟ้า/เหลือง) เชื่อมทางเข้าผนังกับกล่อง เพื่อให้ชันโรงเดินเข้า-ออกผ่านทางนี้

    • ลักษณะนี้จะค่อยๆ กระตุ้นให้ชันโรงสร้างรังต่อเติมเข้ามาในกล่องไม้

  3. ใช้เชือกมัดกล่องติดผนัง

    • กล่องแต่ละกล่องใช้เชือกไนล่อนมัดยึดแน่นเข้ากับไม้หรือโครงสร้างใกล้ผนัง เพื่อไม่ให้หลุดหล่น

  4. หลังเวลาผ่านไป

    • ชันโรงจะสร้างรังต่อเข้าไปในกล่องทีละน้อย

    • เมื่อสร้างรังใหม่ในกล่องจนสมบูรณ์ อาจค่อยๆ ปิดทางเดิมที่ผนัง แล้วนำกล่องออกไปตั้งเลี้ยงที่อื่นได้