จำหน่ายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้งทุกชนิด

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2568

ขี้ชันโรงที่แห้งแข็งสามารถทำให้อ่อนนุ่มลง

 ขี้ชันโรงที่แห้งแข็งสามารถทำให้อ่อนนุ่มลงได้หลายวิธี เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานทากล่องหรือแปะกล่องล่อชันโรง มีดังนี้

1. นำไปตากแดด: วิธีที่ง่ายที่สุด คือ นำขี้ชันที่แข็งไปตากแดดจัดๆ สักพัก ความร้อนจากแสงแดดจะช่วยทำให้ขี้ชันอ่อนตัวลง แต่ไม่ควรตากแดดนานเกินไป เพราะอาจทำให้ขี้ชันละลายและเสียคุณสมบัติไป

2. อุ่นด้วยความร้อน:

  • ใช้ไดร์เป่าผม: เป่าลมร้อนใส่ขี้ชัน ความร้อนจะช่วยให้อ่อนตัวลงอย่างรวดเร็ว ระวังอย่าใช้ความร้อนสูงเกินไป และอย่าเป่าใกล้จนเกินไป เพราะอาจทำให้ขี้ชันไหม้ได้

  • ใช้เตาอบ: ห่อขี้ชันด้วยกระดาษฟอยล์ แล้วนำไปอบในเตาอบที่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส จนกว่าขี้ชันจะอ่อนตัว วิธีนี้อาจใช้เวลานานกว่าการใช้ไดร์เป่าผม

  • ใช้หม้อต้มน้ำ: ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำขี้ชันใส่ภาชนะทนความร้อน วางบนหม้อน้ำเดือด (double boil) ไอน้ำจะช่วยทำให้ขี้ชันอ่อนตัว วิธีนี้ปลอดภัย และช่วยรักษาคุณสมบัติของขี้ชันได้ดี

3. ผสมกับขี้ผึ้ง: นำขี้ชันที่แข็งไปบดหรือขูดให้เป็นผงละเอียด แล้วผสมกับขี้ผึ้งที่ละลาย ในอัตราส่วนที่เหมาะสม ขี้ผึ้งจะช่วยทำให้ขี้ชันอ่อนนุ่มและเหนียวขึ้น ง่ายต่อการใช้งาน และยังช่วยเพิ่มกลิ่นล่อชันโรงได้อีกด้วย

4. ผสมกับน้ำมันพืช: นำขี้ชันที่แข็งไปบดหรือขูดให้เป็นผงละเอียด แล้วผสมกับน้ำมันพืช เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก ในอัตราส่วนที่เหมาะสม คนให้เข้ากันจนขี้ชันอ่อนตัวลง วิธีนี้จะทำให้ขี้ชันมีความเหนียวน้อยกว่าการผสมกับขี้ผึ้ง

ข้อควรระวัง: ไม่ควรใช้ความร้อนสูงเกินไปในการทำให้อ่อนขี้ชัน เพราะอาจทำให้ขี้ชันไหม้ และเสียคุณสมบัติไป ควรเริ่มจากความร้อนต่ำๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มความร้อนตามความจำเป็น

เลือกวิธีที่สะดวกและเหมาะสมกับคุณ และอย่าลืมทดสอบกับขี้ชันปริมาณเล็กน้อยก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าได้ความอ่อนนุ่มที่ต้องการ และไม่ทำให้ขี้ชันเสียหาย

ความเหมาะสมระหว่างกล่องเลี้ยงชันโรงชั้นเดียว, สองชั้น, หรือสามชั้น

 ยังไม่มีงานวิจัยที่เปรียบเทียบอย่างชัดเจนถึงความเหมาะสมระหว่างกล่องเลี้ยงชันโรงชั้นเดียว, สองชั้น, หรือสามชั้น ส่วนใหญ่เป็นการแบ่งปันประสบการณ์จากผู้เลี้ยง และการปรับใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละชนิดชันโรง และสภาพแวดล้อม

ข้อดีและข้อเสียของกล่องแต่ละแบบ:

  • กล่องชั้นเดียว:

    • ข้อดี: ราคาถูก, ทำความสะอาดง่าย, เหมาะสำหรับชันโรงที่ยังมีประชากรน้อย, เหมาะสำหรับการเริ่มต้นเลี้ยง

    • ข้อเสีย: พื้นที่จำกัด, อาจต้องแยกขยายรังบ่อยเมื่อรังโตขึ้น

  • กล่องสองชั้นหรือสามชั้น:

    • ข้อดี: มีพื้นที่มากขึ้น, รองรับการเติบโตของรังได้ดี, สะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิต (โดยแยกชั้นเก็บน้ำผึ้ง), ลดการรบกวนตัวอ่อน

    • ข้อเสีย: ราคาแพงกว่า, ทำความสะอาดยากกว่า, อาจไม่เหมาะกับชันโรงบางชนิดที่ไม่ชอบพื้นที่กว้างมาก, ควบคุมอุณหภูมิยากกว่าหากจำนวนชันโรงไม่มากพอ

ปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกชนิดกล่อง:

  • ชนิดของชันโรง: ชันโรงบางชนิดชอบพื้นที่จำกัด บางชนิดชอบพื้นที่กว้าง ควรศึกษาพฤติกรรมของชันโรงที่ต้องการเลี้ยง

  • ขนาดของรัง: ถ้ารังมีขนาดใหญ่ ควรเลือกกล่องสองชั้นหรือสามชั้น เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอ

  • วัตถุประสงค์การเลี้ยง: ถ้าเลี้ยงเพื่อเก็บน้ำผึ้ง กล่องสองชั้นหรือสามชั้นจะสะดวกในการเก็บเกี่ยวผลผลิตมากกว่า

  • งบประมาณ: กล่องสองชั้นหรือสามชั้นมีราคาแพงกว่ากล่องชั้นเดียว

ข้อแนะนำ:

  • เริ่มต้นจากกล่องชั้นเดียว: สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำให้เริ่มจากกล่องชั้นเดียวก่อน เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนประสบการณ์ เมื่อรังโตขึ้น จึงค่อยเปลี่ยนเป็นกล่องสองชั้นหรือสามชั้น

  • สังเกตพฤติกรรมชันโรง: หลังจากที่ชันโรงเข้ามาทำรังแล้ว ควรสังเกตพฤติกรรมของชันโรง ว่าชอบกล่องแบบไหน และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม

ถึงแม้จะไม่มีงานวิจัยที่ชัดเจน แต่การเลือกชนิดกล่องที่เหมาะสม จะช่วยให้ชันโรงเจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตสูง ดังนั้น ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ และเลือกกล่องที่เหมาะสมกับชันโรงที่เลี้ยงมากที่สุด

ขนาดกล่องล่อที่เหมาะสมสำหรับชันโรงพันธุ์เล็ก

 ขนาดกล่องล่อที่เหมาะสมสำหรับชันโรงพันธุ์เล็ก เช่น ชันโรงขนเงิน, ชันโรงผึ้งจิ๋ว หรือ ชันโรงปากแตร ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สายพันธุ์ชันโรง, ความหนาแน่นของประชากรชันโรงในพื้นที่, และความต้องการของผู้เลี้ยง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับขนาดกล่องล่อที่เหมาะสมมีดังนี้:

ขนาดกล่องล่อ (โดยประมาณ):

  • สำหรับเริ่มต้น (ล่อเข้ามาใหม่ๆ): ขนาดไม่ควรใหญ่มาก ประมาณ 20 x 20 x 20 เซนติเมตร หรือ 15 x 15 x 15 เซนติเมตร ก็เพียงพอแล้ว เพราะถ้ากล่องใหญ่เกินไป ชันโรงอาจจะไม่เข้ามาทำรัง หรือใช้เวลานานกว่าจะสร้างรังเต็มกล่อง

  • หลังจากชันโรงสร้างรังเต็มกล่องล่อ: สามารถย้ายรังไปยังกล่องเลี้ยงจริงที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ โดยขนาดกล่องเลี้ยงจริง ควรมีขนาดประมาณ 30 x 30 x 30 เซนติเมตร หรือใหญ่กว่า ขึ้นอยู่กับการเติบโตของรัง

หลักการ:

  • ไม่เล็กเกินไป: ถ้ากล่องเล็กเกินไป ชันโรงอาจจะไม่เข้ามาทำรัง หรือรังอาจเติบโตได้ไม่เต็มที่

  • ไม่ใหญ่เกินไป: ถ้ากล่องใหญ่เกินไป ชันโรงอาจจะไม่เข้ามาทำรัง หรือใช้เวลานานกว่าจะสร้างรังเต็มกล่อง และอาจทำให้ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นภายในกล่องได้ยาก

สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึง นอกเหนือจากขนาด:

  • วัสดุ: ควรเลือกวัสดุที่ชันโรงชอบ เช่น ไม้ โดยเฉพาะไม้ที่เคยใช้เลี้ยงชันโรงมาก่อน หรือไม้ที่มีกลิ่นที่ชันโรงชอบ เช่น ไม้ขนุน ไม้มะขาม

  • การระบายอากาศ: ควรมีรูระบายอากาศที่เพียงพอ เพื่อป้องกันความร้อนและความชื้นสะสมภายในกล่อง

  • ความสะอาด: ควรทำความสะอาดกล่องล่อก่อนใช้งาน เพื่อกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์

  • สารล่อ: ควรใช้สารล่อที่เหมาะสม เช่น ขี้ผึ้งชันโรง พรอพอลิส หรือสารล่อชันโรงสำเร็จรูป

สุดท้าย ขนาดกล่องล่อที่เหมาะสมที่สุด ขึ้นอยู่กับการทดลองและประสบการณ์ของผู้เลี้ยง ควรลองปรับเปลี่ยนขนาด และสังเกตผล เพื่อหาขนาดที่เหมาะสมกับชันโรงในพื้นที่ของตนเอง

ความสูงที่เหมาะสมในการวางกล่องล่อชันโรงจากพื้นดิน

 ความสูงที่เหมาะสมในการวางกล่องล่อชันโรงจากพื้นดิน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น สภาพแวดล้อม, ชนิดของชันโรง, และสัตว์รบกวนในพื้นที่ แต่โดยทั่วไปแล้ว แนะนำให้วางกล่องล่อที่ความสูงประมาณ 1-2 เมตร จากพื้นดิน

เหตุผล:

  • ป้องกันสัตว์รบกวน: ความสูงระดับนี้ช่วยป้องกันมด, แมลงสาบ, สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก, และสัตว์อื่นๆ ที่อาจรบกวนชันโรงหรือเข้าไปในกล่องล่อได้

  • ความสะดวกในการตรวจสอบ: ความสูง 1-2 เมตร สะดวกต่อการตรวจสอบกล่องล่อเป็นประจำ โดยไม่ต้องก้มหรือปีนสูงมากเกินไป

  • ใกล้เคียงกับระดับรังในธรรมชาติ: ชันโรงหลายชนิดมักทำรังตามโพรงไม้หรือซอกหินที่สูงจากพื้นดินพอสมควร การวางกล่องล่อในระดับความสูงที่ใกล้เคียงกัน จะทำให้ชันโรงรู้สึกคุ้นเคยและปลอดภัยมากขึ้น

กรณีพิเศษ:

  • พื้นที่ที่มีมดมาก: ถ้าในบริเวณนั้นมีมดชุกชุม อาจต้องเพิ่มความสูงของกล่องล่อให้มากกว่า 2 เมตร และอาจต้องใช้วิธีป้องกันมดเพิ่มเติม เช่น ทาน้ำมันเครื่องรอบๆ เสาที่วางกล่อง หรือใช้ภาชนะใส่น้ำวางรองขาตั้งกล่อง

  • พื้นที่ที่มีสัตว์ใหญ่: ถ้าในพื้นที่มีสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ควาย หรือสัตว์ป่าอื่นๆ อาจต้องวางกล่องให้สูงพ้นจากระดับที่สัตว์เหล่านั้นจะเอื้อมถึง

สรุป: ความสูง 1-2 เมตรเป็นความสูงที่แนะนำสำหรับการวางกล่องล่อชันโรง แต่ควรปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ และควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น สัตว์รบกวน และความสะดวกในการตรวจสอบ เป็นหลัก

เทคนิคพิเศษบางอย่างที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการล่อชันโรงได้มากขึ้น

 นอกจากวิธีการเตรียมกล่องล่อแบบพื้นฐานแล้ว ยังมีเทคนิคพิเศษบางอย่างที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการล่อชันโรงได้มากขึ้น ดังนี้:

1. เลือกกล่องที่เหมาะสม:

  • กล่องไม้เก่า: กล่องไม้เก่าที่เคยใช้เลี้ยงชันโรงมาก่อน หรือกล่องไม้ที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว จะมีกลิ่นของชันโรงติดอยู่ ซึ่งเป็นกลิ่นที่ดึงดูดชันโรงได้ดีกว่ากล่องใหม่ ถ้าเป็นกล่องที่เคยเลี้ยงชันโรงขนเงินมาก่อน ยิ่งมีโอกาสสำเร็จสูง

  • ไม้ที่ชันโรงชอบ: ชันโรงบางชนิดชอบไม้บางชนิดมากกว่า เช่น ไม้ขนุน ไม้มะขาม ไม้จันทร์ผา ฯลฯ ลองศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชนิดไม้ที่ชันโรงขนเงินชอบ แล้วเลือกใช้กล่องที่ทำจากไม้ชนิดนั้น

2. เตรียมภายในกล่อง:

  • สร้างโพรงจำลอง: ชันโรงขนเงินชอบทำรังในโพรงไม้ ลองสร้างโพรงจำลองภายในกล่อง โดยใช้ไม้หรือวัสดุอื่นๆ เพื่อให้ชันโรงรู้สึกเหมือนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย และกระตุ้นให้เข้ามาทำรัง

  • ใส่วัสดุทำรัง: ใส่เศษใบไม้แห้ง ขี้เลื่อย หรือวัสดุอื่นๆ ที่ชันโรงใช้ทำรัง ลงไปในกล่อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ชันโรง และกระตุ้นให้เข้ามาสร้างรัง

  • ทาพรอพอลิส: นอกจากขี้ผึ้งแล้ว พรอพอลิสก็เป็นสารล่อชันโรงได้ดีเช่นกัน ลองทาพรอพอลิสบริเวณทางเข้า และภายในกล่อง เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ

3. เทคนิคการวางกล่อง:

  • วางใกล้รังเดิม: ถ้ารู้ว่าบริเวณใดมีรังชันโรงขนเงินอยู่ ให้วางกล่องล่อไว้ใกล้ๆ รังนั้น เพราะเมื่อรังเดิมมีประชากรมากขึ้น ชันโรงกลุ่มใหม่จะแยกตัวออกมาหาที่สร้างรังใหม่ และมีโอกาสเข้ามาอยู่ในกล่องล่อของเราได้

  • วางในทิศทางที่เหมาะสม: ควรวางกล่องล่อให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออก หรือทิศใต้ เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดในตอนบ่าย

  • พรางกล่องล่อ: ใช้ใบไม้ หรือวัสดุอื่นๆ พรางกล่องล่อให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม เพื่อไม่ให้ดูโดดเด่นจนเกินไป และทำให้ชันโรงรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น

4. ความอดทนและการสังเกต:

  • อดทนรอคอย: การล่อชันโรงต้องใช้ความอดทน บางครั้งอาจใช้เวลาหลายเดือนกว่าชันโรงจะเข้ามาทำรัง อย่าเพิ่งท้อแท้ และควรหมั่นตรวจสอบกล่องล่อเป็นประจำ

  • สังเกตพฤติกรรมชันโรง: สังเกตว่ามีชันโรงชนิดอื่นเข้ามาสำรวจกล่องล่อหรือไม่ หรือมีสิ่งรบกวนอื่นๆ เช่น มด แมลงสาบ หรือไม่ ถ้ามี ควรแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

เทคนิคเหล่านี้ไม่ได้รับประกันว่าจะได้ผล 100% แต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการล่อชันโรงขนเงินได้มากขึ้น ควรร่วมกับเทคนิคพื้นฐาน และปรับเปลี่ยนวิธีการตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่

ล่อชันโรง ไม่มีชันโรงเข้ามาเลย ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้

 ถ้าตั้งกล่องล่อชันโรงไปนานมากแล้วยังไม่มีชันโรงเข้ามาเลย ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาครับ

1. ตรวจสอบกล่องล่อและสารล่อ:

  • กลิ่นสารล่อ: สารล่อเสื่อมสภาพหรือเปล่า? ขี้ผึ้งชันโรงมีกลิ่นแรงดึงดูดชันโรงได้ดีที่สุด ถ้าขี้ผึ้งเก่าหรือมีกลิ่นจาง ควรเปลี่ยนใหม่ หรือเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น

  • ความสะอาดของกล่อง: กล่องล่อสกปรกหรือมีกลิ่นแปลกปลอมอื่นๆ ไหม? ชันโรงชอบความสะอาด ควรทำความสะอาดกล่องล่อ และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไป

  • ขนาดรูเข้า-ออก: รูที่เจาะไว้เล็กหรือใหญ่เกินไปหรือเปล่า? ควรมีขนาดประมาณ 1 ซม. พอดีกับตัวชันโรงขนเงิน ถ้าเล็กเกินไปชันโรงอาจเข้าไม่ได้ ถ้าใหญ่เกินไปอาจมีแมลงอื่นเข้าไปรบกวน

2. ตรวจสอบตำแหน่งวางกล่องล่อ:

  • แหล่งอาหาร: บริเวณนั้นมีดอกไม้หรือพืชที่เป็นแหล่งอาหารของชันโรงหรือไม่? ถ้าไม่มี ควรย้ายกล่องล่อไปยังบริเวณที่มีแหล่งอาหารสมบูรณ์กว่า เช่น สวน ป่า ฯลฯ

  • สภาพแวดล้อม: บริเวณนั้นมีสิ่งรบกวนชันโรงหรือไม่? เช่น มด แมลงสาบ กิ้งก่า นก เสียงดัง ควัน ฯลฯ ควรเลือกตำแหน่งที่เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน

  • แสงแดด: กล่องโดนแดดส่องโดยตรงหรือไม่? ควรเลือกตำแหน่งที่ร่มรื่น ไม่โดนแดดจัด เพราะชันโรงไม่ชอบความร้อน

  • ความสูง: กล่องล่ออยู่สูงจากพื้นดินเพียงพอหรือไม่? ควรสูงอย่างน้อย 1-2 เมตร เพื่อป้องกันสัตว์อื่นๆ มารบกวน

3. เปลี่ยนวิธีการล่อ:

  • ใช้รังเก่า: ถ้าพอหาได้ ลองใช้รังชันโรงขนเงินเก่า (บางส่วน) มาวางในกล่องล่อ เพราะกลิ่นของรังจะดึงดูดชันโรงได้ดี

  • เปลี่ยนชนิดของสารล่อ: ลองใช้สารล่อชันโรงสำเร็จรูป หรือขี้ผึ้งจากชันโรงชนิดอื่น แต่อาจได้ผลน้อยกว่าขี้ผึ้งชันโรงขนเงิน

  • ลองวิธีอื่นๆ: เช่น การใช้ขวดน้ำผึ้งล่อ (ไม่แนะนำมากนัก เพราะอาจดึงดูดแมลงชนิดอื่นด้วย)

4. ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ:

  • ถ้าลองทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ควรปรึกษาผู้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงชันโรง หรือติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อขอคำแนะนำ

สำคัญที่สุดคือ: อย่ายอมแพ้! การล่อชันโรงต้องใช้ความอดทน ลองปรับเปลี่ยนวิธีการต่างๆ จนกว่าจะประสบความสำเร็จ และเมื่อได้ชันโรงมาเลี้ยงแล้ว ความพยายามทั้งหมดจะคุ้มค่าแน่นอน

มาเลย มาดูวิธี ล่อชันโรง จากธรรมชาติแบบมือใหม่สุดๆกัน

  มาเริ่มต้นล่อชันโรงขนเงินจากธรรมชาติกันเลย! ขั้นตอน 1-2-3 มีดังนี้:

1. เตรียมกล่องล่อและสารล่อ:

  • กล่องล่อ: กล่องไม้หรือกล่องโฟมก็ได้ ขนาดไม่ต้องใหญ่มาก (ประมาณ 20x20x20 ซม.) เจาะรูขนาดเท่ากับนิ้วก้อย หรือประมาณ 1 ซม. 2-3 รู กระจายรอบกล่อง เพื่อให้ชันโรงเข้าออกได้ และระบายอากาศได้ดี ถ้าใช้กล่องไม้ควรอุดรอยรั่วตามมุมกล่อง เพื่อป้องกันแสงและแมลงอื่นๆ เข้าไปรบกวน

  • สารล่อ: สำหรับชันโรงขนเงิน สารล่อที่ได้ผลดีที่สุดคือ ขี้ผึ้งชันโรงขนเงิน โดยนำไปทาด้านในกล่อง โดยเฉพาะบริเวณรอบๆ รูทางเข้า ยิ่งกลิ่นขี้ผึ้งเข้มข้น ยิ่งมีโอกาสล่อชันโรงได้มากขึ้น ถ้าหาขี้ผึ้งขนเงินไม่ได้จริงๆ สามารถใช้ขี้ผึ้งจากชันโรงชนิดอื่น หรือสารล่อชันโรงสำเร็จรูปแทนได้ แต่อาจได้ผลน้อยกว่า

2. เลือกทำเลวางกล่องล่อ:

  • แหล่งที่ชันโรงชอบ: ชันโรงขนเงินมักทำรังตามโพรงไม้ ซอกหิน หรือตามบ้านคน สังเกตดูว่าบริเวณไหนมีชันโรงขนเงินบินผ่านบ่อยๆ หรือเคยเห็นรังชันโรงขนเงินมาก่อน บริเวณนั้นก็มีโอกาสล่อชันโรงได้มาก

  • สภาพแวดล้อม: เลือกตำแหน่งที่ร่มรื่น ไม่โดนแดดจัด ไม่โดนฝนสาด และมีแหล่งน้ำสะอาดใกล้ๆ

  • ความสูง: ควรวางกล่องล่อสูงจากพื้นประมาณ 1-2 เมตร เพื่อป้องกันมดและสัตว์อื่นๆ รบกวน

3. วางกล่องล่อและรอคอย:

  • การวางกล่อง: วางกล่องล่อให้มั่นคง ไม่โยกเยก ถ้าเป็นไปได้ควรยึดติดกับต้นไม้ กำแพง หรือเสา เพื่อป้องกันการหล่น

  • การรอคอย: การล่อชันโรงต้องใช้ความอดทน อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของอาหาร จำนวนชันโรงในธรรมชาติ ฯลฯ

  • การตรวจสอบ: ควรตรวจสอบกล่องล่อเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้ง หรือสองสัปดาห์ครั้ง โดยสังเกตว่ามีชันโรงเข้ามาสำรวจหรือไม่ ถ้ามีชันโรงเข้ามาทำรังแล้ว ให้รอจนกว่ารังจะแข็งแรง มีประชากรมากพอ จึงค่อยย้ายไปยังกล่องเลี้ยงจริง

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

  • ภายในกล่องล่อควรมีวัสดุสำหรับทำรัง เช่นเศษใบไม้แห้ง ขี้เลื่อย เพื่อให้ชันโรงขนเงินสามารถสร้างรังได้ง่ายขึ้น

  • ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการวางกล่องล่อคือช่วงฤดูดอกไม้บาน เพราะชันโรงจะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ และมีโอกาสแยกรังสูงกว่าช่วงอื่นๆ

  • ถ้าไม่ได้ผล ลองเปลี่ยนตำแหน่งวางกล่องล่อ หรือลองใช้สารล่อชนิดอื่นๆ

คู่มือการเลี้ยงชันโรงสำหรับมือใหม่

 

คู่มือการเลี้ยงชันโรงสำหรับมือใหม่

ส่วนที่ 1: ทำความรู้จักชันโรง

ชันโรงเป็นแมลงสังคมขนาดเล็ก ไม่มีเหล็กใน อาศัยอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีบทบาทสำคัญในการผสมเกสรพืช การเลี้ยงชันโรงจึงเป็นกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศ และยังสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตน้ำผึ้งและชันผึ้งได้

ชนิดของชันโรงที่นิยมเลี้ยง: เช่น ชันโรงผึ้งจิ๋ว (Trigona minima) ชันโรงผึ้งมิ้ม (Tetragonula laeviceps) ฯลฯ ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชนิดที่ต้องการเลี้ยง

ส่วนที่ 2: อุปกรณ์สำหรับเลี้ยงชันโรง

  1. กล่องเลี้ยง: มีหลายแบบ เช่น กล่องไม้ กล่องโฟม ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับชนิดและปริมาณของชันโรง

    • ข้อดีกล่องไม้: อายุการใช้งานนานกว่า ควบคุมอุณหภูมิได้ดีกว่า

    • ข้อดีกล่องโฟม: ราคาถูกกว่า น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย

  2. ชุดป้องกัน: หมวกตาข่าย เสื้อแขนยาว ถุงมือ เพื่อป้องกันการถูกชันโรงต่อย (ถึงแม้จะไม่มีเหล็กใน แต่บางชนิดกัดได้)

  3. ขวดน้ำ/ภาชนะใส่น้ำ: สำหรับให้น้ำชันโรง

  4. อาหารเสริม: น้ำหวาน เกสร ควรให้ในช่วงที่อาหารตามธรรมชาติขาดแคลน

  5. เครื่องพ่นควัน: ใช้ควันเพื่อไล่ชันโรงในกรณีจำเป็น เช่น ตอนตรวจสอบรัง หรือเก็บเกี่ยวผลผลิต (ควันจากกาบมะพร้าวแห้ง หรือขี้เลื่อย)

  6. อุปกรณ์อื่นๆ: มีด หรือ สปาตูล่า สำหรับแซะรวงรัง, เทปกาว, ยางรัด, เชือก

ส่วนที่ 3: วิธีล่อชันโรงมาเลี้ยง

  1. เลือกสถานที่เหมาะสม: ร่มรื่น ใกล้แหล่งอาหาร (ดอกไม้ พืช) มีแหล่งน้ำสะอาด

  2. เตรียมกล่องล่อ: กล่องไม้หรือกล่องโฟม เจาะรูขนาดเล็กให้ชันโรงเข้าออกได้

  3. ใช้วัสดุล่อ: มีหลายวิธี เช่น

    • ขี้ผึ้ง: นำขี้ผึ้งชันโรงมาทาภายในกล่อง

    • พรอพอลิส: นำพรอพอลิสมาทาบริเวณทางเข้าของกล่อง

    • สารล่อชันโรงสำเร็จรูป: หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงชันโรง

    • รังเก่า: นำส่วนหนึ่งของรังเก่ามาวางในกล่องล่อ

  4. วางกล่องล่อ: วางในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น ใต้ต้นไม้ ตามซอกหิน บริเวณที่เคยพบเห็นชันโรงบินผ่าน

  5. รอคอย: อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของชันโรง สภาพแวดล้อม ฯลฯ

  6. ตรวจสอบ: ตรวจสอบกล่องล่อเป็นประจำ เมื่อชันโรงเข้ามาอาศัยแล้ว ให้ย้ายกล่องไปยังตำแหน่งที่ต้องการเลี้ยง

ส่วนที่ 4: การดูแลชันโรง

  1. ให้น้ำ: จัดเตรียมน้ำสะอาดไว้ให้ชันโรงตลอดเวลา

  2. ให้อาหารเสริม: ในช่วงที่อาหารตามธรรมชาติขาดแคลน

  3. ป้องกันศัตรู: มด แมลงสาบ กิ้งก่า นก ฯลฯ

  4. ทำความสะอาด: ทำความสะอาดบริเวณรอบๆ กล่องเลี้ยง เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค

  5. ตรวจสอบรัง: ตรวจสอบรังเป็นประจำ เพื่อดูแลสุขภาพของชันโรง และป้องกันการเกิดโรค

ส่วนที่ 5: การเก็บเกี่ยวผลผลิต

  1. น้ำผึ้ง: เก็บเกี่ยวได้เมื่อรังมีน้ำผึ้งเต็ม โดยใช้หลอดดูดหรืออุปกรณ์อื่นๆ

  2. ชันผึ้ง: เก็บเกี่ยวได้เมื่อชันผึ้งมีปริมาณมาก โดยใช้มีดหรือสปาตูล่าแซะออก

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของชันโรงที่ต้องการเลี้ยงให้ละเอียด ก่อนเริ่มเลี้ยง

  • ควรเริ่มเลี้ยงจากจำนวนน้อยๆ ก่อน เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนประสบการณ์

  • ควรปรึกษาผู้มีประสบการณ์ในการเลี้ยงชันโรง เพื่อขอคำแนะนำ