จำหน่ายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้งทุกชนิด

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2567

วิธีการแยกและย้ายรังชันโรงไปกล่องใหม่เพื่อขยายพันธุ์

 เอาความรู้ ประสบการณ์ มาเล่าส฿่กันฟัง

.
วิธีการแยกและย้ายรังชันโรงไปกล่องใหม่เพื่อขยายพันธุ์





การแยกและย้ายรังชันโรงจากกล่องหนึ่งไปยังกล่องใหม่เป็นวิธีการขยายพันธุ์ที่ได้ผลดี
แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ชันโรงเครียดหรือหนีรังไป

อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม:
กล่องเลี้ยงชันโรงใหม่ (ขนาดและวัสดุขึ้นอยู่กับชนิดของชันโรง)
อุปกรณ์ป้องกันตนเอง เช่น หมวกตาข่าย ถุงมือ เสื้อแขนยาว
มีดบางคมๆ หรือสปาตูล่า
ภาชนะสำหรับใส่น้ำหวาน
ภาชนะสำหรับใส่ตัวอ่อนชันโรง
ขี้ผึ้ง หรือเทียนไข
ยางรัด หรือเชือก
กระสอบ หรือผ้าสำหรับคลุม




.

ขั้นตอนการแยกและย้ายรัง:
เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม: ช่วงเช้าตรู่ หรือเย็น เป็นเวลาที่ชันโรงส่วนใหญ่อยู่ในรัง และอากาศไม่ร้อนจัด
.
เลือกกล่องรังที่จะแยก: เลือกกล่องรังที่มีชันโรงอยู่กันหนาแน่น มีนางพญามากกว่า 1 ตัว และมีอาหารเพียงพอ
.
เตรียมกล่องรังใหม่: ทำความสะอาดกล่องใหม่ให้เรียบร้อย เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อฆ่าเชื้อ ทาน้ำหวานบางๆ บริเวณปากทางเข้า-ออก เพื่อดึงดูดชันโรง
.
เริ่มต้นการแยก: สวมอุปกรณ์ป้องกันตนเองให้เรียบร้อย ใช้ควันไล่ชันโรงเบาๆ จากนั้นเปิดฝากล่องรังเดิมอย่างระมัดระวัง
.
ค้นหานางพญา: ค้นหานางพญาชันโรงในรังเดิมอย่างระมัดระวัง นางพญามักจะอยู่บริเวณที่มีตัวอ่อนจำนวนมาก
.
ย้ายนางพญาไปยังรังใหม่: เมื่อพบนางพญาแล้ว ให้นำนางพญาวางลงในภาชนะเล็กๆ อย่างระมัดระวัง
.
ย้ายรวงรังและตัวอ่อน: ใช้มีดบางๆ หรือสปาตูล่า แซะรวงรังที่มีตัวอ่อน นำไปติดตั้งในรังใหม่ โดยให้หงายด้านที่มีตัวอ่อนขึ้น
.
ย้ายชันโรงงาน: ใช้มือ หรือแปรงขนนุ่มๆ ปัดชันโรงงานบางส่วนจากรังเดิมลงในรังใหม่
.
ปิดฝากล่อง: เมื่อย้ายชันโรงเสร็จแล้ว ให้ปิดฝากล่องทั้งสองใบ โดยให้แน่ใจว่าปิดสนิท
.
นำรังใหม่ไปวาง: นำรังใหม่ไปวางในตำแหน่งที่เหมาะสม เช่น บริเวณที่มีต้นไม้ ดอกไม้ และแหล่งน้ำ
.
ดูแลรังใหม่: หลังจากย้ายรังแล้ว ควรหมั่นสังเกตและดูแลรังใหม่อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเรื่องอาหารและน้ำ



.

ข้อควรระวัง:
ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของชันโรงที่เลี้ยง และวิธีการแยกย้ายรังที่ถูกต้องก่อนลงมือปฏิบัติ
ควรทำอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้ชันโรงตกใจบินหนี
ควรทำในช่วงเวลาที่เหมาะสม และมีอากาศร่มรื่น
หลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี หรือสิ่งแปลกปลอม ที่อาจเป็นอันตรายต่อชันโรง
.
การแยกและย้ายรังชันโรงอย่างถูกวิธี นอกจากจะช่วยเพิ่มจำนวนชันโรงแล้ว ยังเป็นการช่วยขยายพันธุ์ชันโรงให้คงอยู่ต่อไปอีกด้วย

บทความนี้ ลุงเขียนจากประสบการณ์เอง อาจแตกต่างจากท่านอื่นๆ ก็พอใช้เป็นแนวทางได้

#แจ่มอารมณ์ดี














วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

การเจริญเติบโตของชันโรง

 การเจริญเติบโตของชันโรง แบ่งออกเป็น 4 ระยะหลักๆ ดังนี้

ระยะไข่ (Egg Stage):
ราชินีชันโรงจะวางไข่รูปร่างคล้ายเมล็ดข้าว สีขาว ขนาดเล็ก ไว้ในหลอดรวงตัวอ่อน
ระยะเวลา: ประมาณ 2-4 วัน (ขึ้นอยู่กับชนิดและอุณหภูมิ)

ระยะตัวอ่อน (Larva Stage):

ไข่จะฟักออกเป็นตัวอ่อนรูปร่างคล้ายหนอน สีขาว ไม่มีขา
ตัวอ่อนจะกินอาหารที่ชันโรงงานป้อนให้ เช่น น้ำหวาน เกสร และรอยัลเยลลี
ตัวอ่อนจะลอกคราบ 4-5 ครั้ง เพื่อขยายขนาด
ระยะเวลา: ประมาณ 6-8 วัน

ระยะดักแด้ (Pupa Stage):

ตัวอ่อนจะเข้าสู่ระยะดักแด้ โดยจะสร้างใยหุ้มตัวเองไว้ในหลอดรวง
ภายในใย ตัวอ่อนจะเปลี่ยนแปลงรูปร่าง เป็นชันโรงตัวเต็มวัย
ระยะเวลา: ประมาณ 10-14 วัน

ระยะตัวเต็มวัย (Adult Stage):

ชันโรงตัวเต็มวัย จะออกจากดักแด้ พร้อมทำงานตามวรรณะของตนเอง
ชันโรงวรรณะต่างๆ จะมีอายุขัยแตกต่างกัน
ราชินี: หลายปี
ชันโรงงาน: 1-3 เดือน
ชันโรงตัวผู้: 2-3 สัปดาห์

หมายเหตุ:

ระยะเวลาในการเจริญเติบโตของชันโรงแต่ละชนิด อาจแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัย เช่น อุณหภูมิ อาหาร
การทำความเข้าใจวงจรชีวิตของชันโรง เป็นประโยชน์ต่อการเลี้ยงดู เช่น การจัดการอาหาร การควบคุมศัตรู และการขยายพันธุ์





วรรณะของชันโรง

 วรรณะของชันโรง:

ชันโรงเป็นแมลงสังคมที่มีการแบ่งวรรณะออกเป็น 3 วรรณะหลัก ได้แก่
1. ราชินี (Queen):
ลักษณะ: ตัวใหญ่กว่าชันโรงวรรณะอื่นๆ โดยเฉพาะส่วนท้องที่ยาว ปีกสั้นกว่าลำตัว มีหน้าที่หลักในการวางไข่
จำนวน: ในแต่ละรังจะมีราชินีเพียงตัวเดียวเท่านั้น
อายุขัย: มีอายุขัยได้นานหลายปี
หน้าที่:
วางไข่ เป็นผู้กำหนดเพศของชันโรงที่จะเกิดใหม่ โดยไข่ที่ไม่ได้รับการผสมจะเป็นตัวผู้ ส่วนไข่ที่ได้รับการผสมจะเป็นตัวเมีย
ควบคุมพฤติกรรมของชันโรงวรรณะอื่นๆ ด้วยสารเคมีที่เรียกว่าฟีโรโมน

2. ชันโรงงาน (Worker):

ลักษณะ: ตัวเล็กกว่าราชินี ปีกมีขนาดเท่ากับลำตัว เป็นเพศเมียที่เป็นหมัน ไม่สามารถสืบพันธุ์ได้
จำนวน: มีจำนวนมากที่สุดในรัง อาจมีจำนวนหลายพันถึงหลายหมื่นตัว
อายุขัย: มีอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 1-3 เดือน
หน้าที่:
ทำงานเกือบทุกอย่างภายในรัง เช่น
ซ่อมแซมรัง
ทำความสะอาดรัง
เลี้ยงดูตัวอ่อน
ป้องกันรัง
หาอาหาร (น้ำหวาน เกสรดอกไม้)

3. ชันโรงตัวผู้ (Drone):

ลักษณะ: ตัวเล็กกว่าราชินี แต่ใหญ่กว่าชันโรงงาน ส่วนท้องป้อมสั้นกว่าราชินี
จำนวน: มีจำนวนน้อย จะพบมากในช่วงฤดูผสมพันธุ์
อายุขัย: มีอายุขัยสั้น เพียงแค่ 2-3 สัปดาห์
หน้าที่:
ผสมพันธุ์กับราชินี
เมื่อผสมพันธุ์แล้วจะตาย

ความสัมพันธ์ของวรรณะ:

วรรณะทั้งสามของชันโรง ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อให้รังอยู่รอดและดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป
หากขาดวรรณะใดวรรณะหนึ่งไป จะส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดของรังทั้งหมด
เกร็ดน่ารู้:
ชันโรงงาน จะมีการแบ่งหน้าที่กันทำงานอย่างเป็นระบบ ตามช่วงอายุ
ชันโรงบางชนิด ชันโรงงานสามารถเปลี่ยนแปลงวรรณะเป็นราชินีได้ ในกรณีที่รังขาดราชินี



.
.
.

รายชื่อชันโรงในประเทศไทย (เรียงตามอักขระชื่อวิทยาศาสตร์)

รายชื่อชันโรงในประเทศไทย (เรียงตามอักขระชื่อวิทยาศาสตร์)
Geniotrigona thoracica (Smith, 1857) - ชันโรงปากหมูใหญ่
Heterotrigona itama (Cockerell, 1918) - ชันโรงอตาม่า
Homotrigona aliceae (Cockerell, 1918) - ชันโรงอลิซ
Homotrigona fimbriata (Smith, 1857) - ชันโรงยักษ์ขาดำ
Homotrigona lutea (Bingham, 1897) - ชันโรงยักษ์ขาแดง
Lepidotrigona doipaensis (Schwarz, 1939) - ชันโรงปากแตรกลาง
Lepidotrigona flavibrasis (Cockerell, 1929) - ชันโรงปากแตรจิ๋ว
Lepidotrigona nitidiventris (Smith, 1857) - ชันโรงปากแตรขาใบพาย
Lepidotrigona satun (Attasopa & Bänziger, 2018) - ชันโรงสะตุน
Lepidotrigona terminata (Smith, 1878) - ชันโรงปากแตรใหญ่
Lisotrigona cacciae (Nurse, 1907) - ชันโรงแคช
Lisotrigona furva (Engel, 2000) - ชันโรงคชฌกูฏ
Lophotrigona canifrons (Smith, 1857) - ชันโรงอุงหมี
Pariotrigona klossi (Schwarz, 1939) - ชันโรงซูเปอร์จิ๋วคลอสซี
Pariotrigona pendleburyi (Schwarz, 1939) - ชันโรงเพนเดิลบูรี่
Tetragonilla atripes (Smith, 1857) - ชันโรงใต้ดินอาทรีเปส
Tetragonilla collina (Smith, 1857) - ชันโรงใต้ดิน
Tetragonilla fuscibasis (Cockerell, 1920) - ชันโรงใต้ดินสีน้ำตาล
Tetragonula fuscobalteata (Cameron, 1908) - ชันโรงหางแฉก
Tetragonula geissleri (Cockerell, 1918) - ชันโรงหัวโต
Tetragonula hirashimai (Sakagami, 1978) - ชันโรงญี่ปุ่น
Tetragonula laeviceps (Smith, 1857) - ชันโรงหางแดง
Tetragonula malaipanae (Engel, Michener & Boontop, 2013) - ชันโรงมาเลนา
Tetragonula melina (Gribodo, 1893) - ชันโรงขนเงิน
Tetragonula minor (Sakagami, 1978) - ชันโรงไมเนอร์
Tetragonula pagdeni complex of species: laeviceps, pagdeniformis - ชันโรงศรีรินธร
Tetragonula testaceitarsis (Cameron, 1901) - ชันโรงเท้าสีอิฐ
Tetrigona apicalis (Smith, 1857) - ชันโรงปลายปีกขาว
Tetrigona binghami (Schwarz, 1937) - ชันโรงปลายปีกขาวตัวแดง
Tetrigona melanoleuca (Cockerell, 1929) - ชันโรงหลังลาย, ชันโรงปลายปีกขาวหน้าดำ
Tetrigona peninsularis (Cockerell, 1927) - ชันโรงปลายปีกขาวใต้
เพิ่มเติม:
ชื่อไทยของชันโรงบางชนิด อาจมีชื่อเรียกซ้ำกันได้ เช่น "ชันโรงหลังลาย" อาจหมายถึง Tetragonula melanoleuca หรือ Tetragonula fuscobalteata
การเรียกชื่อชันโรง อาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้น หากต้องการข้อมูลเชิงลึก ควรศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ





องค์ประกอบภายในรังชันโรง:

 รังของชันโรงนั้นซับซ้อนกว่าที่คิด มีองค์ประกอบที่น่าสนใจหลายอย่าง แต่ละส่วนทำหน้าที่แตกต่างกัน คล้ายกับบ้านที่ถูกออกแบบมาอย่างดี

มาดูกันว่าภายในรังชันโรง มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง
.
องค์ประกอบภายในรังชันโรง:
.
ปากทางเข้ารัง:
เป็นช่องทางเข้า-ออกของชันโรง
ขนาดและรูปร่างแตกต่างกันไปตามชนิดของชันโรง
มักสร้างจากไขผึ้ง ผสมยางไม้ หรือดิน
บางชนิด เช่น ชันโรงหางลาย จะมีปากทางเข้ารังเป็นรูปแตร
ชันโรงบางชนิด จะมีทหารเฝ้าอยู่หน้ารัง
.
ช่องทางเดิน:
เป็นทางเดินเชื่อมต่อส่วนต่างๆ ภายในรัง
.
ห้องตัวอ่อน (Brood Cells):
เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของรัง
เป็นที่อยู่ของไข่ ตัวอ่อน และดัก pupa
รูปร่างคล้ายกระเปาะ เรียงตัวกันเป็นชั้นๆ
สร้างจากไขผึ้ง ผสมกับยางไม้
.
ถุงเก็บน้ำผึ้ง (Honey Pots):
ใช้สำหรับเก็บน้ำผึ้ง
มีรูปร่างคล้ายกระเปาะ ขนาดแตกต่างกันไป
มักจะอยู่ด้านบนหรือรอบๆ ห้องตัวอ่อน
.
ถุงเก็บเกสร (Pollen Pots):
ใช้สำหรับเก็บละเกสรดอกไม้
มีลักษณะคล้ายถุงเก็บน้ำผึ้ง แต่อาจมีสีและกลิ่นแตกต่างกัน
.
พื้นที่สำหรับราชินี (Queen Cell):
เป็นห้องพิเศษสำหรับราชินี มักจะมีขนาดใหญ่กว่าห้องตัวอ่อนทั่วไป
เป็นที่อยู่ของราชินี และเป็นที่วางไข่
.
ช่องว่างสำหรับระบายอากาศ:
ช่วยในการระบายอากาศ และควบคุมอุณหภูมิภายในรัง
.
ข้อสังเกต:
องค์ประกอบภายในรังชันโรง อาจแตกต่างกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับชนิดของชันโรง ขนาดของรัง และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ

"ปากหมู" กับ "ปากแตร" คือชันโรงชนิดใด

 "ปากหมู" กับ "ปากแตร" นี่ก็เป็นชื่อเรียกชันโรงแบบชาวบ้านที่น่าสนใจ บ่งบอกถึงลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจน

มาดูกันครับว่า "ปากหมู" กับ "ปากแตร" คือชันโรงชนิดใด และเหมาะเลี้ยงในภาคไหนบ้าง

1. ปากหมู:

มักหมายถึง ชันโรงปากแหว่ง (Tetragonula collina)
ที่มาของชื่อ: สังเกตจากปลายปากด้านบนที่เว้าแหว่ง คล้ายจมูกหมู จึงถูกเรียกว่า "ปากหมู"
ความเหมาะสมในการเลี้ยง:
ชันโรงปากแหว่ง เลี้ยงได้ดีใน ทุกภาคของไทย
เป็นชันโรงที่ปรับตัวเก่ง ทนทาน เลี้ยงง่าย ให้น้ำผึ้งปริมาณมาก
ภาคกลาง มักเรียกว่า "อุงปากแหว่ง" หรือ "อุงหางแหลม"
ภาคเหนือ อาจเรียกว่า "อุงเมือง"

2. ปากแตร:

ชื่อนี้มักทำให้สับสนได้ง่าย เพราะอาจหมายถึงชันโรงได้หลายชนิด ที่มีลักษณะปากคล้ายแตร เช่น
ชันโรงหางแฉก (Tetragonula fuscobalteata): มีปลายท้องปล้องที่ 5 เว้าลึก ส่วนปากมีลักษณะแหลมคล้ายแตร
ชันโรงปากแตร (Tetragonula laotrigona): มีขนาดเล็ก ปากแหลมยาว คล้ายแตร
ความเหมาะสมในการเลี้ยง:
ชันโรงหางแฉก พบมากในภาคใต้ เหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่ภาคใต้มากกว่า
ชันโรงปากแตร พบได้ทุกภาค แต่ไม่นิยมเลี้ยง เพราะให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย

เกร็ดน่ารู้:

การเลือกชันโรงมาเลี้ยง นอกจากดูชื่อเรียกและลักษณะแล้ว ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของพื้นที่ด้วย
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือเกษตรกรผู้เลี้ยงชันโรงในพื้นที่ จะช่วยให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำ และเหมาะสมกับพื้นที่มากที่สุด
.
.

พันธุ์ชันโรงท้องถิ่นที่น่าสนใจและเลี้ยงได้

 ภาคกลางของไทย มีพันธุ์ชันโรงท้องถิ่นที่น่าสนใจและเลี้ยงได้หลายชนิดเลยครับ แต่ละชนิดจะมีลักษณะเฉพาะตัวและให้ผลผลิตแตกต่างกันไป ลองดูตัวอย่างพันธุ์ยอดนิยมที่นิยมเลี้ยงในภาคกลางนะครับ

พันธุ์ชันโรงยอดนิยมในภาคกลาง:
  • ชันโรงตัวเล็ก (Trigona spp.)
  • ลักษณะ: ขนาดเล็กที่สุดในบรรดาชันโรง ลำตัวสีดำ ทำรังในโพรงไม้เล็กๆ
  • ข้อดี: เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ได้เร็ว
  • ข้อจำกัด: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย
ชันโรงหางแดง (Tetragonula laeviceps)
  • ลักษณะ: ตัวใหญ่กว่าชันโรงตัวเล็กเล็กน้อย ท้องปล้องท้ายๆมีสีออกแดง ทำรังในโพรงไม้
  • ข้อดี: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งปานกลาง
  • ข้อจำกัด: อ่อนแอต่อศัตรูธรรมชาติ เช่น มด
ชันโรงปากแหว่ง (Tetragonula collina)
  • ลักษณะ: ขนาดลำตัวปานกลาง ปากมีลักษณะแหว่ง ทำรังในโพรงไม้
  • ข้อดี: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งค่อนข้างมาก
  • ข้อจำกัด: อาจดุบ้างเล็กน้อยเมื่อถูกรบกวน
ชันโรงใต้ดิน (Lepidotrigona terminata)
  • ลักษณะ: ตัวเล็กสีดำ ทำรังใต้ดิน
  • ข้อดี: เลี้ยงง่าย ทนทาน
  • ข้อจำกัด: ให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย มักเลี้ยงเพื่ออนุรักษ์มากกว่า


ก่อนตัดสินใจเลือกพันธุ์ ควรพิจารณา:
ความสะดวกในการดูแล: บางชนิดเลี้ยงง่าย บางชนิดอาจต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
ปริมาณผลผลิตที่ต้องการ: หากต้องการผลผลิตน้ำผึ้งมาก ควรเลือกพันธุ์ที่ให้น้ำผึ้งมาก
ความเหมาะสมกับพื้นที่: บางชนิดอาจเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

ขอแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรงให้ดีก่อนตัดสินใจเลี้ยง
  • เลือกซื้อชันโรงจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ได้พันธุ์ดี แข็งแรง
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือ เกษตรกรผู้เลี้ยงชันโรง เพื่อขอคำแนะนำ
หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจเลือกพันธุ์ชันโรงที่เหมาะสม
.
.
นอกจากชื่อทางการแล้ว ชาวบ้านก็มีชื่อเรียกชันโรงพันธุ์ต่างๆ ที่เป็นเอกลักษณ์และเรียกกันติดปากมาดูกันว่ามีชื่ออะไรบ้าง

ชื่อเรียกชันโรงแบบชาวบ้านในภาคกลาง:

  • ชันโรงตัวเล็ก: ผึ้งจิ๋ว, แมลงอุง, ขี้ตั๋ว, อีโลม
  • ชันโรงหางแดง: อุงหางแดง, แดงลำ, เลาหางแดง
  • ชันโรงปากแหว่ง: อุงปากแหว่ง, อุงหางแหลม, อุงเมือง
  • ชันโรงใต้ดิน: อุงดิน, อุงใต้ดิน
หมายเหตุ:

ชื่อเรียกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น

ชันโรงบางชนิดอาจมีชื่อเรียกซ้ำกันได้
นอกจากชื่อที่กล่าวมาแล้ว ชาวบ้านยังอาจตั้งชื่อชันโรงตามลักษณะของรัง เช่น
อุงรังใหญ่: หมายถึง ชันโรงที่ทำรังขนาดใหญ่ เช่น ชันโรงหางลาย
อุงรังไม้ไผ่: หมายถึง ชันโรงที่ชอบทำรังในต้นไผ่
ข้อดีของการเรียนรู้ชื่อเรียกแบบชาวบ้าน:
ช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่น และการแบ่งแยกชนิดของชันโรงแบบง่ายๆ
สะดวกในการสื่อสารกับชาวบ้าน เวลาพูดคุยเรื่องชันโรง
 
.
.
ชื่อ ขนเงิน หลังลาย นี่แห่งชัดเจนเลยว่าเป็นภาษาชาวบ้านที่เรียกขานชันโรง บ่งบอกถึงความช่างสังเกตของคนสมัยก่อนที่ตั้งชื่อตามลักษณะของชันโรงได้อย่างตรงเป๊ะ!
มาดูกันว่า "ขนเงิน" กับ "หลังลาย" นี่คือชันโรงชนิดไหน

ขนเงิน (Silver Back) คือชื่อเรียกของชันโรง "ชันโรงหางขาว" (Tetragonula sapiens) ซึ่งเป็นชันโรงขนาดกลาง

ที่มาของชื่อ "ขนเงิน": สังเกตได้จากบริเวณด้านหลังของส่วนท้องปล้องที่ 2 จะมีขนละเอียดสีขาวเงิน มองดูคล้ายเคลือบด้วยผงเงิน จึงเป็นที่มาของชื่อ "ขนเงิน" นั่นเอง
ชันโรงขนเงินเป็นที่นิยมเลี้ยงในภาคกลาง เนื่องจาก ให้ผลผลิตน้ำผึ้งปานกลาง รสชาติดี และเลี้ยงง่าย
.

หลังลาย (Stripe Back) มักหมายถึงชันโรง "ชันโรงหางลาย" (Tetragonula melanoleuca) ซึ่งเป็นชันโรงขนาดกลางเช่นกัน

ที่มาของชื่อ "หลังลาย": ดูได้จากด้านหลังของส่วนอก จะมีแถบสีน้ำตาลอ่อนสลับกับสีดำ เป็นลายขวางชัดเจน จึงถูกเรียกว่า "หลังลาย"
นิยมเลี้ยงในภาคกลางและภาคใต้ ให้น้ำผึ้งรสชาติดี แต่เลี้ยงค่อนข้างยากกว่าขนเงิน
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม:
ชื่อเรียกชันโรงแบบชาวบ้าน นอกจากจะบ่งบอกถึงลักษณะภายนอกแล้ว บางครั้งยังบอกถึง พฤติกรรม แหล่งที่อยู่ หรือแม้กระทั่งรสชาติน้ำผึ้ง เช่น "อุงหวาน" "อุงเปรี้ยว"
การเรียกชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ทำให้การศึกษาชื่อเรียกแบบชาวบ้าน เป็นเรื่องสนุก และทำให้เราเข้าใจความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นได้มากขึ้น






.

ชันโรง คืออะไร

 ชันโรง คืออะไร

ชันโรง เป็นแมลงสังคมจำพวกผึ้งขนาดเล็ก ไม่มีเหล็กใน จึงไม่ต่อย มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละภาค เช่น ขี้ตั๋ว อุง หรือ แมลงอุง
ชันโรงมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศโดยเป็นแมลงผสมเกสร ช่วยผสมพันธุ์พืชผลทางการเกษตร
น้ำผึ้งและเกสรของชันโรงมีคุณค่าทางอาหารสูง มีสรรพคุณทางยา และเป็นที่ต้องการของตลาด

ลักษณะของชันโรง

  • ตัวเล็กกว่าผึ้งพันธุ์ ประมาณ 3-4 มิลลิเมตร บ้างก็เล็กเท่ากับแมลงหวี่
  • ลำตัวมีสีดำ หรือน้ำตาลเข้ม มีขนปกคลุม
  • มีลิ้นยาวสำหรับดูดน้ำหวาน
  • บินได้ในระยะใกล้ๆ ราวๆ 200 เมตรจากรัง

รังของชันโรง

  • ชันโรงทำรังอยู่ในโพรงไม้ โพรงใต้ดิน หรือซอกหิน โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ยางไม้ ผสมกับไขผึ้ง
  • รังชันโรงแบ่งเป็นส่วนๆ มีช่องเก็บน้ำผึ้ง เกสร และ ช่องสำหรับวางไข่

ประโยชน์ของชันโรง

  • ผสมเกสรพืชผลทางการเกษตร ช่วยเพิ่มผลผลิต
  • น้ำผึ้งชันโรง มีคุณค่าทางอาหาร รสชาติเข้มข้น มีราคาสูง
  • เกสรชันโรง มีโปรตีนสูง ใช้เป็นอาหารเสริมได้

การเลี้ยงชันโรง

  • ปัจจุบันนิยมเลี้ยงชันโรงในกล่องไม้ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการและเก็บเกี่ยวผลผลิต
  • การเลี้ยงชันโรงไม่ยาก ไม่ต้องให้อาหาร เพียงแค่มีแหล่งอาหาร เช่น ดอกไม้ ผลไม้
  • ชันโรงเป็นแมลงที่ไม่ดุร้าย เลี้ยงง่าย ไม่เป็นอันตรายต่อ



วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

การล่อชันโรง ทำแบบไหน

 การล่อชันโรง ทำแบบไหน


.
การล่อชันโรง หรือ การล่อชันโรงเข้ารัง เป็นเทคนิคที่ใช้สำหรับเพิ่มจำนวนรังชันโรง หรือ นำชันโรงจากธรรมชาติมาเลี้ยง โดยมีวิธีการหลักๆ ดังนี้

1. การล่อชันโรงโดยใช้กล่องล่อ:

  • เตรียมกล่องล่อ: เลือกกล่องที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ ขนาดพอเหมาะ มีรูเข้า-ออก และปิดมิดชิด
  • ใส่สารล่อ: เลือกใช้สารล่อชันโรงที่มีคุณภาพ เช่น ไขผึ้งแท้ พรอพอลิส หรือ สารล่อชันโรงสำเร็จรูป ใส่ในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
  • เลือกทำเล: เลือกพื้นที่ที่ชันโรงชอบ เช่น ใกล้แหล่งอาหาร ร่มรื่น สงบ
  • ติดตั้ง: ตั้งกล่องล่อให้สูงจากพื้นประมาณ 50-100 ซม. หันหน้ากล่องไปทางทิศตะวันออก หรือ ทิศใต้
  • ตรวจสอบ: หมั่นตรวจสอบกล่องล่อทุก 1-2 สัปดาห์ เมื่อพบว่ามีชันโรงเข้ามาอยู่ จึงย้ายไปยังรังเลี้ยงที่เตรียมไว้
2. การล่อชันโรงโดยใช้วิธีธรรมชาติ:
  • ใช้โพรงไม้: หาโพรงไม้ที่มีขนาดเหมาะสม ทำความสะอาด แล้วนำไปวางไว้ในบริเวณที่ชันโรงชอบ
  • ใช้วัสดุธรรมชาติ: นำวัสดุธรรมชาติ เช่น กะลามะพร้าว ท่อนไม้ไผ่ ไปวางไว้ในบริเวณที่ชันโรงชอบ
  • ปลูกพืชอาหาร: ปลูกพืชอาหารของชันโรงหลากหลายชนิด เพื่อดึงดูดชันโรงให้เข้ามาหาอาหารและทำรังในบริเวณนั้น
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
  • ทำในช่วงฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ชันโรงขยายพันธุ์
  • เลือกใช้สารล่อที่สดใหม่ มีคุณภาพ
  • ทำความสะอาดกล่องล่อ/วัสดุล่อ เป็นประจำ
  • ศึกษาชนิดของชันโรงในพื้นที่ เพื่อเลือกวิธีการล่อ และ ทำเลที่เหมาะสม
ข้อควรระวัง:
  • การล่อชันโรงอาจไม่ได้ผลเสมอไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดของชันโรง สภาพแวดล้อม และ ความเหมาะสมของทำเล
  • ควรระมัดระวังในการเคลื่อนย้ายรังชันโรง เพื่อป้องกันอันตรายต่อทั้งตัวเรา และ ชันโรง
  • การล่อชันโรงต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และ ความอดทน ขอให้ประสบความสำเร็จในการล่อชันโรง

.
.
.

ในประเทศไทยมีชันโรงกี่สายพันธ์ อะไรบ้าง

 ในประเทศไทยมีชันโรงกี่สายพันธ์ อะไรบ้าง


 
ประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง จึงพบชันโรงหลากหลายสายพันธุ์ โดยสามารถแบ่งกลุ่มตามลักษณะการทำรัง และ พฤติกรรม ได้ราวๆ 4 กลุ่ม (Genus) หลักๆ ดังนี้

1. กลุ่มชันโรงตัวเล็ก (Genus Trigona):

  • ชันโรงผึ้งจิ๋ว (Trigona minima): ตัวเล็กที่สุดในไทย รังเล็ก ทำรังในรูเล็กๆ
  • ชันโรงปากแตร (Trigona collina): ปากเป็นกรวย ชอบทำรังในโพรงไม้
  • ชันโรงหางแหลม (Trigona apicalis): ตัวสีดำ ท้องแหลม ชอบแย่งรังชนิดอื่น
2. กลุ่มชันโรงตัวกลาง (Genus Tetragonula):
  • ชันโรงอีตาม่า (Tetragonula pagdeni): นิยมเลี้ยง เชื่อง ให้ผลผลิตดี
  • ชันโรงขนเงิน (Tetragonula laeviceps): ตัวมีขนสีเงินปกคลุม พบมากในธรรมชาติ
  • ชันโรงหลังลาย (Tetragonula fuscobalteata): หลังมีลายสีน้ำตาล ทำรังในโพรงไม้
3. กลุ่มชันโรงตัวใหญ่ (Genus Heterotrigona):
  • ชันโรงป่า (Heterotrigona itama): ขนาดใหญ่ ดุ ทำรังในที่โล่งแจ้ง
  • ชันโรงหางขาว (Heterotrigona erythrogastra): ปลายท้องมีสีขาว ทำรังขนาดใหญ่
4. กลุ่มชันโรงที่หายาก (Genus Geniotrigona & Lophotrigona):
  • ชันโรงthoracica (Geniotrigona thoracica): หายาก ตัวเล็กสีดำ
  • ชันโรงcanifrons (Lophotrigona canifrons): หายากมาก ข้อมูลน้อย
หมายเหตุ:
  • ชื่อเรียกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
  • ยังมีชันโรงอีกหลายชนิดที่ยังไม่ได้รับการระบุชนิด (unidentified species)
  • การเลี้ยง ควรเลือกชนิดที่เหมาะสมกับพื้นที่ และ วัตถุประสงค์


.
.
.

ทำเลในการตั้งกล่องล่อชันโรงจากธรรมชาติ เป็นแบบใด และควรตั้งกล่องล่ออย่างไร

 ทำเลในการตั้งกล่องล่อชันโรงจากธรรมชาติ เป็นแบบใด และควรตั้งกล่องล่ออย่างไร

.
.
การตั้งกล่องล่อชันโรงจากธรรมชาติ ต้องเลือกทำเลและจัดวางกล่องอย่างเหมาะสม จึงจะเพิ่มโอกาสล่อชันโรงให้เข้ามาอยู่ได้สำเร็จ

ทำเลที่ตั้งกล่องล่อ:

  • แหล่งอาหาร: บริเวณใกล้เคียงมีพืชอาหารของชันโรง เช่น ดอกไม้ป่า ดอกไม้ผลไม้ แหล่งน้ำหวาน
  • ร่มเงา: บริเวณที่ร่มรื่น ได้รับแสงแดดรำไร ไม่ร้อนจัด
  • สงบ ปลอดภัย: ห่างจากแหล่งเสียงดัง แหล่งน้ำท่วมขัง สารเคมีกำจัดแมลง และศัตรูตามธรรมชาติ เช่น มด
  • ทิศทาง: ควรหันหน้ากล่องไปทางทิศตะวันออก หรือ ทิศใต้ เพื่อรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า
  • ความสูง: ตั้งสูงจากพื้นประมาณ 50-100 เซนติเมตร โดยใช้ขาตั้ง หรือ ยึดติดกับต้นไม้
การจัดวางกล่องล่อ:
  • ความสะอาด: ทำความสะอาดกล่องล่อให้เรียบร้อย ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือ สิ่งแปลกปลอม
  • สารล่อชันโรง: ใช้สารล่อชันโรงที่มีคุณภาพ เช่น ไขผึ้งแท้ พรอพอลิส หรือ สารล่อชันโรงสำเร็จรูป
  • ปริมาณสารล่อ: ใส่สารล่อในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป
  • ปิดรู/ช่องว่าง: ปิดรูหรือช่องว่างของกล่องให้มิดชิด ป้องกันมด แมลง และ สัตว์อื่นๆ เข้าไปรบกวน
  • ตรวจเช็คสม่ำเสมอ: ควรตรวจเช็คกล่องล่อทุกๆ 1-2 สัปดาห์ สังเกตว่ามีชันโรงเข้ามาสำรวจ หรือ เข้ามาทำรังหรือไม่
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
  • ตั้งกล่องล่อในช่วงต้นฤดูฝน ซึ่งเป็นช่วงที่ชันโรงขยายพันธุ์
  • เลือกใช้กล่องล่อที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้
  • วางกล่องล่อหลายๆ จุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการล่อชันโรง

การล่อชันโรงจากธรรมชาติต้องใช้เวลา และ ความอดทน แต่ถ้าทำอย่างถูกวิธี ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง ขอให้โชคดีในการล่อชันโรง





วิธีการแยกรังชันโรง ทำยังไง

 วิธีการแยกรังชันโรง ทำยังไง

.
การแยกรังชันโรงขนเงิน เป็นวิธีขยายรังที่ต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์พอสมควร หากไม่มั่นใจ ควรขอคำแนะนำจากผู้เลี้ยงที่มีประสบการณ์


ขั้นตอนการแยกรังชันโรงขนเงิน

1. เตรียมความพร้อม

  • เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม: ช่วงเช้าหรือเย็น อากาศไม่ร้อน ชันโรงไม่ดุร้าย
  • เตรียมอุปกรณ์: ตามที่ได้กล่าวไปในคำตอบก่อนหน้า
  • สวมใส่ชุดป้องกันให้เรียบร้อย
2. เลือกรังที่จะแยก
  • เลือกรังที่แข็งแรง มีประชากรชันโรงหนาแน่น มีหลอดนางพญาอย่างน้อย 1 หลอด
  • ตรวจสอบว่ามีอาหาร น้ำหวาน และเกสรเพียงพอทั้งรังเก่าและรังใหม่
3. การแยกชั้นรัง
  • ค่อยๆ เปิดฝากล่องรังเดิมออก โดยใช้มีดบางๆ แซะ ไขผึ้งที่ปิดรอยต่อออก ระวังอย่าให้โดนตัวอ่อน
  • ใช้ควันเป่าเบาๆ เพื่อให้ชันโรงสงบลง
  • หารอยต่อของรัง มองหาหลอดนางพญาที่อยู่ติดกับรวงน้ำหวาน
  • ใช้มีดค่อยๆ แซะรังบริเวณรอยต่อ แบ่งรังออกเป็น 2 ส่วน โดยให้รังใหม่มีหลอดนางพญาอย่างน้อย 1 หลอด และมีรวงน้ำหวานติดมาด้วย
  • ย้ายส่วนที่แยกไปใส่ในกล่องเลี้ยงใหม่ ปรับตำแหน่งรวงให้ใกล้เคียงกับรังเดิมมากที่สุด
  • ปิดฝากล่องทั้งสอง ตรวจสอบรอยต่อให้เรียบร้อย ป้องกันมดและแมลงรบกวน
4. การดูแลหลังแยก
  • วางกล่องใหม่ไว้ใกล้กับตำแหน่งเดิมของรังเดิม
  • สังเกตพฤติกรรมชันโรงในรังใหม่ ว่ามีการสร้างรัง ซ่อมแซมรัง หรือไม่
  • เติมอาหารเสริม น้ำหวาน และน้ำสะอาด ให้ชันโรงทั้งสองรัง
ข้อควรระวัง:
  • ควรแยกไม่เกิน 1 ใน 3 ของรังเดิม เพื่อไม่ให้รังเดิมอ่อนแอเกินไป
  • ระวังอย่าให้โดนตัวอ่อนหรือไข่ชันโรง เพราะอาจทำให้ชันโรงไม่ยอมรับรังใหม่ได้
  • หากไม่มั่นใจ ควรปรึกษาผู้เลี้ยงที่มีประสบการณ์ก่อน
การแยกรังชันโรงขนเงินเป็นเทคนิคที่ต้องอาศัยความชำนาญ ใจเย็นๆ ค่อยๆ ฝึกฝน และศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณแยกรังได้สำเร็จ และมีรังชันโรงขนเงินเพิ่มมากขึ้น











ถ้าวันนี้จะแยกชั้นโรงขนเงิน ต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์อะไรบ้าง

 ถ้าวันนี้จะแยกชั้นโรงขนเงิน ต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์อะไรบ้าง

.
การแยกชั้นรังชันโรงขนเงิน เป็นวิธีขยายรังที่ช่วยเพิ่มผลผลิตน้ำหวานได้ดี แต่ต้องทำอย่างระมัดระวัง
ก่อนลงมือ ควรเตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม:

1. อุปกรณ์ป้องกันตัว:

  • เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว: ป้องกันแมลงกัดต่อย
  • ถุงมือยาง: ป้องกันมือเปื้อนยางไม้ และชันโรงต่อย
  • หมวกตาข่าย: ป้องกันศีรษะและใบหน้า
  • รองเท้าบูท: ป้องกันแมลงเข้าไปในรองเท้า
2. อุปกรณ์แยกชั้นรัง:
  • กล่องเลี้ยงชันโรงใหม่: สำหรับเป็นรังใหม่ ควรเลือกขนาดพอเหมาะกับจำนวนชันโรงที่แยก
  • แผ่นกั้นรัง: ใช้กั้นระหว่างชั้นบน-ล่าง (ถ้ามี)
  • มีดบางคมๆ: ใช้ตัดไขผึ้ง และเปิดปากรัง
  • ช้อนตัก/แปรงขนนุ่ม: ใช้ย้ายตัวอ่อน และไขผึ้ง
  • ขวดสเปรย์ใส่น้ำ: ใช้ฉีดพรมให้ชันโรงสงบลง
3. อุปกรณ์อื่นๆ:
  • เชือก/เทปกาว: ใช้มัดกล่องและส่วนประกอบต่างๆ
  • ภาชนะ: ใช้ใส่น้ำหวาน ไขผึ้ง หรือวัสดุอื่นๆ
  • กระดาษหนังสือพิมพ์: ใช้ปูรองพื้น ป้องกันความสกปรก
ข้อควรระวัง:
  • ทำในช่วงเช้าหรือเย็น อากาศไม่ร้อน ชันโรงไม่ดุร้าย
  • ทำอย่างใจเย็น ค่อยๆ แซะรัง อย่าให้ตัวอ่อน/ไข่ชันโรงเสียหาย
  • หลังแยกเสร็จ ควรทิ้งรังเดิมไว้ใกล้ๆ สักพัก เพื่อให้ชันโรงที่บินอยู่กลับเข้ารังได้
การแยกชั้นรังชันโรงขนเงิน ควรศึกษาข้อมูลและเทคนิคอย่างละเอียด หรือ ขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ เพื่อให้การแยกเป็นไปอย่างราบรื่น และ ได้รังใหม่ที่แข็งแรง





ผลไม้ที่ชันโรงชอบ เอามาเป็นอาหาร

  การให้อาหารเสริมเป็นผลไม้ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและสร้างแหล่งอาหารสำรองให้ชันโรงขนเงินได้ดี โดยผลไม้ที่ชันโรงขนเงินชื่นชอบและสามารถวางไว้ใกล้ๆ กล่องเลี้ยงได้ มีดังนี้

ผลไม้สุกงอม กลิ่นไม่แรง รสไม่ฉุน:
  • กล้วยน้ำว้า: เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ง่ายต่อการกิน ควรหั่นเป็นแว่นวางคว่ำลง
  • มะละกอสุก: เลือกที่สุกจัด เนื้อนิ่ม หั่นเป็นชิ้นเล็ก
  • แก้วมังกรเนื้อขาว: รสชาติหวานอ่อนๆ เป็นที่ชื่นชอบเช่นกัน
  • แตงโม: เลือกที่สุกเต็มที่ หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ
  • ฝรั่งสุก: เลือกที่สุกนิ่ม กลิ่นไม่แรง หั่นเป็นชิ้น
ข้อควรระวัง:
  • ผลไม้เน่าเสีย: ไม่ควรนำมาให้ชันโรงกิน เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อรา และเป็นอันตรายได้
  • ผลไม้รสเปรี้ยวจัด: เช่น มะนาว มะกรูด ส้ม ควรหลีกเลี่ยง
  • ผลไม้มีกลิ่นฉุน: เช่น ทุเรียน เพราะอาจรบกวนชันโรง
วิธีวางผลไม้:
  • วางบนจานรอง หรือภาชนะสะอาด ป้องกันมด
  • วางในร่ม ไม่โดนแดดโดยตรง
  • เปลี่ยนผลไม้ทุก 1-2 วัน เพื่อความสะอาด
  • สังเกตผลไม้ที่ชันโรงชอบ นำมาให้ซ้ำได้
  • นอกจากผลไม้แล้ว ชันโรงขนเงินยังต้องการ:
  • แหล่งน้ำสะอาด: วางภาชนะใส่น้ำ มีก้อนหิน/ฟองน้ำ ให้เกาะ
  • ละอองเกสรดอกไม้: ปลูกพืชดอกหลากชนิด ใกล้บริเวณเลี้ยง
การให้อาหารเสริมที่ถูกต้อง จะช่วยให้ชันโรงขนเงินแข็งแรง ให้ผลผลิตน้ำหวานดี และเป็นรังที่สมบูรณ์


ชันโรงพันธุ์อีตาม่า (Tetragonula pagdeni) เป็นชันโรงที่ สามารถเลี้ยงได้ทั่วประเทศไทย แต่

 ชันโรงพันธุ์อีตาม่า (Tetragonula pagdeni) เป็นชันโรงที่ สามารถเลี้ยงได้ทั่วประเทศไทย แต่จะ เจริญเติบโตได้ดีในบางพื้นที่ มากกว่า

พื้นที่ที่เหมาะสม:
  • ภาคเหนือ: เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากมีอากาศเย็น ชันโรงพันธุ์อีตาม่าจะแข็งแรง ให้ผลผลิตน้ำหวานดี
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลี้ยงได้ดีในบางพื้นที่ ที่มีอากาศค่อนข้างเย็น เช่น บนภูเขา หรือ พื้นที่ราบสูง
  • ภาคกลาง: เลี้ยงได้ แต่อาจให้ผลผลิตน้ำหวานน้อยกว่าภาคเหนือ เนื่องจากอากาศค่อนข้างร้อน
  • ภาคตะวันออก และ ภาคใต้: เลี้ยงได้ แต่ควรเป็นพื้นที่ที่มีความชื้นสูง และ มีร่มเงา
พื้นที่ที่ไม่เหมาะสม:
  • พื้นที่ที่มีอากาศร้อนจัด: ชันโรงพันธุ์อีตาม่าไม่ชอบอากาศร้อนจัด อาจทำให้ชันโรงอ่อนแอ และ ตายได้
  • พื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง: เช่น บริเวณโรงงานอุตสาหกรรม หรือ ริมถนนที่มีการจราจรคับคั่ง
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:
  • แหล่งอาหาร: ควรเลือกพื้นที่ที่มีพืชอาหารของชันโรงพันธุ์อีตาม่าอยู่มาก เช่น ดอกไม้ป่า ดอกไม้ประดับ และ ไม้ผล
  • สภาพแวดล้อม: ควรเป็นพื้นที่เงียบสงบ ไม่มีลมพัดแรง และ มีร่มเงา
  • การดูแล: ควรศึกษาเทคนิคการเลี้ยง และ การดูแลชันโรงพันธุ์อีตาม่าอย่างถูกวิธี
สรุป: ชันโรงพันธุ์อีตาม่าเลี้ยงได้ทั่วประเทศไทย แต่ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของพื้นที่ เพื่อให้ชันโรงแข็งแรง และ ให้ผลผลิตดี

การเลี้ยงชันโรงพันธุ์ขนเงินในกล่อง 3 ชั้น แนวตั้ง

  การเลี้ยงชันโรงพันธุ์ขนเงินในกล่อง 3 ชั้น แนวตั้ง แบบที่นิยมในต่างประเทศนั้น สามารถทำได้ และ มีข้อดีหลายประการ แต่ก็มี ข้อควรพิจารณา บางประการเช่นกัน

ข้อดี:
  • เพิ่มพื้นที่: เหมาะสำหรับรังที่มีประชากรหนาแน่น หรือต้องการขยายรังในอนาคต
  • จัดการง่าย: แยกส่วนทำรัง เก็บน้ำหวาน และขยายพันธุ์ ได้ชัดเจน สะดวกต่อการเก็บเกี่ยวผลผลิต และดูแลรักษารัง
  • ระบายอากาศดี: ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคและศัตรูพืช
  • สวยงาม: กล่องหลายชั้นที่ออกแบบมาอย่างดี สามารถเพิ่มความสวยงามให้กับพื้นที่เลี้ยงชันโรงได้
ข้อควรพิจารณา:
  • ความสูง: กล่อง 3 ชั้น อาจมีความสูงมากเกินไป ทำให้การจัดการบางอย่าง เช่น การตรวจเช็ครัง หรือการเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นไปได้ยากลำบาก ต้องใช้บันไดช่วย
  • น้ำหนัก: กล่อง 3 ชั้น เมื่อใส่วัสดุเลี้ยงและรังชันโรงแล้ว จะมีน้ำหนักมาก ต้องแน่ใจว่าโครงสร้างแข็งแรงเพียงพอ
  • ค่าใช้จ่าย: กล่อง 3 ชั้น ย่อมมีราคาสูงกว่ากล่องชั้นเดียวหรือสองชั้น
สรุป:
การเลี้ยงชันโรงพันธุ์ขนเงินในกล่อง 3 ชั้น แนวตั้ง มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดของรัง พื้นที่ในการวาง จำนวนรังที่ต้องการเลี้ยง และงบประมาณ
คำแนะนำ:
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรงในกล่องแบบ 3 ชั้น แนวตั้ง จากแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้
  • ปรึกษาผู้เลี้ยงชันโรงที่มีประสบการณ์ เพื่อขอคำแนะนำ
  • เริ่มต้นจากกล่องขนาดเล็กก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยายขนาดเมื่อรังมีประชากรเพิ่มมากขึ้น



กล่องเลี้ยงชันโรงพันธุ์ขนเงิน

 กล่องเลี้ยงชันโรงพันธุ์ขนเงิน

ขนาดและรูปทรง

ขนาด: สำหรับชันโรงพันธุ์ขนเงิน ขนาดกล่องที่เหมาะสมจะอยู่ที่ประมาณ 20x20x20 เซนติเมตร (กว้าง x ยาว x สูง)

รูปทรง: รูปทรงกล่องที่นิยมใช้เลี้ยงชันโรงมี 2 แบบ คือ

  • แบบกล่องสี่เหลี่ยม: เป็นแบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด
  • แบบท่อนไม้: ใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ
จำนวนชั้น
  • กล่องชั้นเดียว: เหมาะสำหรับเลี้ยงชันโรงรุ่นเริ่มต้น หรือ ผู้เลี้ยงมือใหม่ที่ต้องการศึกษาพฤติกรรมของชันโรง
  • กล่องสองชั้น: เหมาะสำหรับรังที่มีประชากรชันโรงหนาแน่นแล้ว และต้องการขยายรัง โดยชั้นล่างจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับส่วนทำรัง และชั้นบนจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บน้ำหวาน
วัสดุที่ใช้ทำกล่อง
  • ไม้: นิยมใช้ไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ไม้มะค่า ไม้เต็ง เพราะมีความทนทาน ไม่ผุพังง่าย
  • วัสดุอื่นๆ: เช่น แผ่นซีเมนต์บอร์ด หรือ กล่องโฟม
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
  • ควรเลือกทำเลวางกล่องเลี้ยงที่ร่มรื่น
  • ควรมีดอกไม้และแหล่งอาหารสำหรับชันโรงอยู่ใกล้เคียง
  • ควรหมั่นตรวจเช็คความสะอาดและความชื้นภายในกล่องเลี้ยง
หมายเหตุ
  • ขนาดของกล่องเลี้ยงอาจปรับเปลี่ยนได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ เช่น จำนวนชันโรง และ พื้นที่ในการวางกล่องเลี้ยง
  • ควรศึกษาข้อมูลและวิธีการเลี้ยงชันโรงพันธุ์ขนเงินอย่างละเอียดก่อนเริ่มเลี้ยง





วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2567

วิธีการล่อชันโรงมาเลี้ยง ทำอย่างไร

 การล่อชันโรงเข้ามาอยู่ในกล่องที่เราเตรียมไว้ เป็นวิธีเริ่มต้นเลี้ยงชันโรงแบบธรรมชาติที่น่าสนใจ แต่ต้องใช้ความอดทนและเทคนิคเล็กน้อย ลองทำตามวิธีการต่อไปนี้ครับ

1. เตรียมกล่องล่อชันโรง

เลือกกล่องที่เหมาะสม: กล่องไม้หรือลังไม้เก่าๆ ใช้งานได้ดี ควรมีขนาดประมาณ 10-20 ลิตร มีฝาปิดมิดชิด เจาะรูขนาดเล็กๆ ประมาณ 1-2 รู สำหรับเป็นทางเข้าออก

ทำความสะอาดกล่อง: ล้างทำความสะอาดกล่องให้หมดจด ผึ่งแดดให้แห้งสนิท ไม่ควรมีกลิ่นแปลกปลอม

ใส่วัสดุล่อชันโรง: ใช้ขี้ผึ้งดำ หรือชันโรงเก่า วางไว้ภายในกล่อง ประมาณ 1-2 ข้อนโต๊ะ กลิ่นของชันโรงจะช่วยดึงดูดชันโรงให้เข้ามาสำรวจ

ผสมสารล่อ (ไม่จำเป็น แต่ช่วยเพิ่มโอกาส): สามารถใช้สารล่อชันโรงที่หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เลี้ยงผึ้ง ผสมน้ำตามอัตราส่วนที่ระบุ ทาบริเวณทางเข้าของกล่อง

2. เลือกสถานที่วางกล่อง

ใกล้แหล่งอาหาร: เลือกพื้นที่ที่มีต้นไม้ดอกไม้ พืชผลไม้ แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์

ร่มรื่น เงียบสงบ: ควรเป็นบริเวณที่ร่มรื่น ไม่ร้อนจัด ไม่โดนลมแรง และไม่พลุกพล่าน

สูงจากพื้นดิน: ควรวางกล่องบนขาตั้ง สูงจากพื้นดินประมาณ 50-100 เซนติเมตร เพื่อป้องกันมดและสัตว์อื่นๆ รบกวน

3. รอคอยและสังเกต

รออย่างอดทน: อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน กว่าชันโรงจะเข้ามาสำรวจและตัดสินใจทำรัง

สังเกตความเคลื่อนไหว: หมั่นสังเกตบริเวณกล่อง ว่ามีชันโรงบินเข้าออกหรือไม่

ห้ามรบกวน: หากพบว่ามีชันโรงเข้ามาทำรังแล้ว ห้ามรบกวน เปิดดู หรือเคลื่อนย้ายกล่อง

4. ข้อควรระวัง

การล่อชันโรงเป็นวิธีที่ต้องอาศัยโอกาสและปัจจัยแวดล้อม อาจไม่ได้ผลเสมอไป

ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม แหล่งอาหาร และช่วงเวลาการแยกรังของชันโรงในพื้นที่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการล่อชันโรง

หมายเหตุ: บางครั้ง ชันโรงอาจเข้ามาสำรวจกล่อง แต่ไม่ตัดสินใจทำรัง อาจเป็นเพราะยังไม่ใช่ช่วงแยกรัง หรือไม่พึงพอใจกับสภาพแวดล้อม ควรหมั่นสังเกต ปรับปรุงแก้ไข และรอคอยอย่างใจเย็นครับ

กล่องชันโรงที่เหมาะที่สุด ควรเป็นแบบไหน

 การเลือกกล่องเลี้ยงชันโรงที่เหมาะสมที่สุด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างครับ ไม่ใช่แค่แบบของกล่องเท่านั้น

1. ปัจจัยหลักที่ต้องพิจารณา

ชนิดของชันโรง: ชันโรงแต่ละชนิดมีขนาดรัง นิสัย และความต้องการที่ต่างกัน เช่น ชันโรงผึ้งเล็กชอบรังขนาดเล็ก ส่วนชันโรงปากแตรชอบรังขนาดใหญ่

สภาพอากาศ: พื้นที่ที่เลี้ยงมีอากาศร้อน ชื้น หรือหนาวเย็น? วัสดุและการออกแบบกล่องต้องเหมาะสมกับสภาพอากาศ เพื่อควบคุมอุณหภูมิภายในรัง

วัตถุประสงค์การเลี้ยง: เลี้ยงเพื่อเก็บน้ำผึ้ง เก็บชัน หรือขยายพันธุ์? รูปแบบกล่องอาจแตกต่างกันไป

งบประมาณ: วัสดุและความซับซ้อนของกล่องส่งผลต่องบประมาณ

2. ลักษณะกล่องชันโรงที่ดี

ขนาดเหมาะสม: ไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป สามารถรองรับจำนวนประชากรชันโรงและปริมาณน้ำผึ้งได้

วัสดุคุณภาพดี: แข็งแรง ทนทาน ปลอดภัยต่อชันโรง นิยมใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้เนื้อแข็ง

ระบายอากาศได้ดี: มีช่องระบายอากาศที่เหมาะสม ช่วยลดความร้อนและความชื้นในรัง

ป้องกันศัตรูพืช: มีฝาปิดมิดชิด ป้องกันมด แมลง และสัตว์อื่นๆ รบกวน

ทำความสะดวก: ง่ายต่อการตรวจเช็ครัง เก็บเกี่ยวผลผลิต และทำความสะอาด

3. ตัวอย่างแบบกล่องชันโรงที่นิยม

กล่องไม้แบบดั้งเดิม: เรียบง่าย ราคาถูก เหมาะกับมือใหม่

กล่องไม้แบบหลายชั้น: เหมาะกับการเลี้ยงชันโรงจำนวนมาก แยกห้องเก็บน้ำผึ้งได้

กล่องปูนซีเมนต์: แข็งแรง ทนทาน อายุการใช้งานยาว แต่ควบคุมอุณหภูมิยากกว่า

4. คำแนะนำเพิ่มเติม

ศึกษาข้อมูลชนิดของชันโรงที่ต้องการเลี้ยงอย่างละเอียด

สอบถามผู้มีประสบการณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงชันโรง

ทดลองเลี้ยงจำนวนน้อยก่อน เพื่อศึกษาและปรับปรุงรูปแบบกล่องให้เหมาะสม

จำไว้ว่า ไม่มีกล่องเลี้ยงชันโรงแบบใดที่ดีที่สุด เลือกแบบที่เหมาะสมกับปัจจัยและความต้องการของเรามากที่สุด และอย่าลืมใส่ใจดูแลชันโรงอย่างใกล้ชิด เท่านี้ก็ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงชันโรงได้แล้วครับ

ชันโรง พันธ์ไหน เลี้ยงได้ทุกที่ ของประเทศไทย

  จริงๆ แล้วไม่มีชันโรงพันธุ์ใดที่สามารถเลี้ยงได้ "ทุกที่" ในประเทศไทยแบบ 100% นะครับ เพราะชันโรงแต่ละชนิดก็จะมีความชอบเรื่องสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และพืชอาหารที่ต่างกันไป

แต่ถ้าให้แนะนำ ชันโรงที่เลี้ยงง่ายและปรับตัวได้ดีในหลายพื้นที่ของไทย ก็ขอแนะนำเป็น

ชันโรงผึ้งเล็ก (Tetragonula laeviceps): เป็นพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงมากที่สุดในไทย เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตน้ำผึ้งดี ชอบอากาศค่อนข้างร้อน พบได้ทั่วไปทุกภาค

ชันโรงขนเงิน (Tetragonula collina): เป็นพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย ขยันหาอาหาร ให้ผลผลิตน้ำผึ้งปานกลาง ชอบอากาศค่อนข้างเย็น พบมากทางภาคเหนือและอีสาน

ชันโรงหางแหลม (Lepidotrigona terminata): เป็นพันธุ์ขนาดเล็ก เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตน้ำผึ้งน้อย แต่ให้ชันเยอะ พบได้ทุกภาค

สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกพันธุ์ชันโรง

สภาพอากาศ: อุณหภูมิ ความชื้น ลม ในพื้นที่ที่เราอยู่เหมาะกับชันโรงแบบไหน?

พืชอาหาร: บริเวณนั้นมีพืชดอกไม้ พืชผลไม้ ที่เป็นแหล่งอาหารของชันโรงมากน้อยแค่ไหน?

ความชำนาญ: หากเป็นมือใหม่ ควรเริ่มจากพันธุ์ที่เลี้ยงง่ายและทนทานก่อน

ก่อนตัดสินใจเลี้ยงชันโรงพันธุ์ใด ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลักษณะนิสัย การเลี้ยงดู และข้อดีข้อเสียของแต่ละพันธุ์ให้ดีเสียก่อนนะครับ

ชันโรงใต้ดิน

  ชันโรงใต้ดิน 

จริงๆ แล้วไม่ได้หมายถึงชันโรงพันธุ์ใดพันธุ์หนึ่งที่เฉพาะเจาะจง แต่เป็นคำที่ใช้เรียก ลักษณะการทำรังของชันโรงบางชนิด ที่มักจะทำรังอยู่ใต้ดิน เช่น บริเวณ โพรงต้นไม้ใต้ดิน รากไม้ หรือจอมปลวก

ตัวอย่างชันโรงที่มักพบว่าทำรังใต้ดิน เช่น

ชันโรงขนเงิน (Tetragonula collina)

ชันโรงปากแตร (Tetragonula laeviceps)

ชันโรงหางแหลม (Lepidotrigona terminata)

ดังนั้น หากต้องการทราบว่าชันโรงใต้ดินที่พบนั้นเป็นพันธุ์ใด จำเป็นต้องสังเกตลักษณะรูปร่าง ลักษณะรัง และพฤติกรรมของชันโรงเพิ่มเติม หรือสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญด้านชันโรงโดยตรง

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ

วิธีการเลี้ยง ชันโรง

 วิธีการเลี้ยงชันโรง

การเลี้ยงชันโรงเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจและมีประโยชน์ ชันโรงเป็นแมลงที่ช่วยผสมเกสร นอกจากนี้ น้ำผึ้งและชันโรงยังมีราคาสูงและเป็นที่ต้องการของตลาด

1. การเลือกสถานที่เลี้ยง

เลือกสถานที่ที่เงียบสงบ ปราศจากมลพิษ ไม่มีลมแรง และมีร่มเ

ควรใกล้แหล่งอาหารของชันโรง เช่น แหล่งน้ำ แหล่งเกสรดอกไม้

อยู่ใกล้แหล่งน้ำสะอาด

ห่างไกลจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช

2. การเลือกพันธุ์ชันโรง

ควรเลือกพันธุ์ที่เลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตดี เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เช่น ชันโรงผึ้งเล็ก ชันโรงใต้ดิน ชันโรงปากแตร

สามารถหาซื้อพันธุ์ชันโรงจากฟาร์มเลี้ยงที่ได้มาตรฐาน

3. การเตรียมกล่องเลี้ยง

สามารถใช้ได้ทั้งแบบไม้และแบบปูนซีเมนต์

ขนาดและรูปร่างขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ของชันโรง

ต้องมีช่องทางเข้าออกของชันโรง

ต้องมีฝาปิดที่แน่นหนา ป้องกันศัตรูพืช

ภายในกล่องควรมีวัสดุทำรัง เช่น ขี้ไม้ผุ ใบไม้แห้ง

4. การย้ายรังและการเลี้ยงดู

ควรย้ายรังในช่วงเย็นหรือกลางคืน

วางรังในกล่องเลี้ยงอย่างระมัดระวัง

ให้อาหารเสริม เช่น น้ำหวาน น้ำผสมเกสร ในช่วงที่ดอกไม้มีน้อย

หมั่นตรวจเช็ครัง ศัตรูพืช และทำความสะอาดรังเป็นประจำ

5. การเก็บเกี่ยวผลผลิต

การเก็บน้ำผึ้งควรทำในช่วงเช้าหรือเย็น

ใช้เครื่องดูดน้ำผึ้งโดยเฉพาะ

ควรเหลือน้ำผึ้งไว้ในรังบ้างสำหรับเป็นอาหารของชันโรง

ชันโรงสามารถเก็บเกี่ยวได้ตลอดปี

ข้อควรระวัง

ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงชันโรงอย่างละเอียดก่อนเริ่มเลี้ยง

ควรระวังการถูกชันโรงต่อย สวมชุดป้องกันทุกครั้งที่สัมผัสรัง

เลือกใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอย่างระมัดระวัง

การเลี้ยงชันโรงให้ประสบความสำเร็จนั้น เกษตรกรต้องเอาใจใส่ ดูแลอย่างใกล้ชิด หมั่นศึกษาหาความรู้ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้เลี้ยงรายอื่นๆอยู่เสมอ

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้

วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

กล่องเลี้ยงชันโรง 2ห้อง แยกน้ำหวานแบบมาตรฐานต่างประเทศ เก็บน้ำหวานง่ายไม่ทำลายตัวอ่อน

 กล่องเลี้ยงชันโรง 2ห้อง แยกน้ำหวานแบบมาตรฐานต่างประเทศ เก็บน้ำหวานง่ายไม่ทำลายตัวอ่อน

ราคา 370 บาท ค่าส่ง 80 บาท ..0809898770

หรือกดสั่งจากช็อปปี  https://shopee.co.th/product/88778671/25812266724/


ทำจากไม้สนเก่า ไม่มีกลิ่นเหม็นของไม้และน้ำยา ขัดจนลื่นมือไม่มีเสี้ยนตำมือ ยาว 40 ซม แบ่งเป็น 2 ห้อง บานพับติดตั้งอย่างดี งานสร้างจากประสบการณืจริง ตรงไหมมีรู เราอุดให้หมด ทึบแสง 100% ไม้หนา ทำให้คุมความร้อนได้ดี แบบนี้ชันโรงชอบ ตัวชันโรง เขาจะจัดการ บริหารเอง เราไม่ต้องทำอะไร แบบนี้เวลาเก็บน้ำหวาน รัง ตัวอ่อน นางพญา จะไม่โดนทำลายเสียหาย เพราะน้ำหวานจะถูกแยกไว้อีกห้องนึง









(ไม้สัก) กล่องเลี้ยงชันโรง แบบแยกน้ำหวาน กล่องจะถูกแบ่งเป็น 2 ห้องเพื่อให้ชันโรงแยกน้ำหวานออกจากรัง

 (ไม้สัก) กล่องเลี้ยงชันโรง แบบแยกน้ำหวาน กล่องจะถูกแบ่งเป็น 2 ห้องเพื่อให้ชันโรงแยกน้ำหวานออกจากรัง

420 ค่าส่ง 80 บาท  ..0809898770

หรือกดสั่งจากช็อปปี้  https://shopee.co.th/product/88778671/25212299102/


ยาว 40 ซม ทำจากไม้สัก อย่างดี พร้อมกับการใช้อุปกรณ์ชั้นดีในการประกอบ

กล่องจะถูกแบ่งเป็น2ห้อง ที่เหลือ ตัวชั้นโรงจะเป็นผู้จัดการทุกอย่างเอง 

เตรียมสินค้าก่อนส่ง 1 วัน เป็นโรงงานเอง มีของตลอดครับ